“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กำลังผจญมรสุมไม่แพ้ “ทักษิณ ชินวัตร” ด้วยเหตุที่ตกเป็นจำเลยทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญา หลากหลายข้อหา ก่อนหน้านี้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ที่มีนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธาน ได้มีมติให้ “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้ความเสียหาย 35,000 ล้านบาท จากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ละเลยความเสียหายโครงการดังกล่าวจนก่อให้เกิดความเสียหายจริงจำนวน 2 โครงการ คือ โครงการรับจำนำข้าวปีการผลิต2555/2556 และ ปีการผลิต 2556/2557 เป็นเงิน 1.78 แสนล้านบาท โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ จะต้องชดใช้จำนวน 20% ของมูลค่าความเสียหาย คิดเป็นเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท  จนทำให้กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของยิ่งลักษณ์ทั้งหมด โดยมีการส่งบัญชีเงินฝาก 12 บัญชี ให้กรมบังคับคดีทำการยึดทรัพย์แล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดี โดยคดีมีอายุความถึง 10 ปี. ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาในคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ อดีตข้าราชการระดับสูงในกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เครือข่ายบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตพ่อค้าข้าวชื่อดัง และเอกชนผู้ค้าข้าวอื่นรวม 28 ราย เป็นจำเลย ศาลฎีกาฯพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิด พิพากษาลงโทษจำคุก เช่น นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ 36 ปี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ 42 ปี  นายมนัส สร้อยพลอย 40 ปี นายฑิฆัมพร นาทวรทัต 32 ปี  นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ 24 ปี มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 151 และผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) มาตรา 12 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มาตรา 123/1 ศาลฯมีคำพิพากษาจำคุก กลุ่มบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด และเครือข่าย เช่น นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร 48 ปี นายสมคิด เอื้อนสุภา 16 ปี นายรัฐนิธ โสจิระกุล 19 ปี  มีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 151 ผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้ว มาตรา 12 และ พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 123/1 เป็นต้น  และให้บริษัท สยามอินดิก้าฯ นายอภิชาติ และ นายนิมล รักดี (โจ) รวมกันชดใช้เงินจำนวน 1.69 หมื่นล้านบาท  โดยจำเลยทั้งหมดไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษายกฟ้อง นายสมยศ คุณจักร หจก.โรงสีกิจทวียโสธร นายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.โรงสีกิจทวียโสธร และกรรมการบริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด บริษัท เค.เอ็ม.ซี.อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด นายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการบริษัท เค.เอ็ม.ซี.อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด บริษัท เจียเม้ง จำกัด นางประพิศ มานะธัญญา กรรมการบริษัท เจียเม้ง จำกัด จำเลยที่ไม่มาฟ้งคำพิพากษาคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร กรรมการบริษัท สิราลัย จำกัด เครือญาตินายอภิชาติ ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยที่มีการจำคุก และสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายนับหมื่นล้านบาท ที่สำคัญก็มีบทลงท้ายคล้ายคดีอื่น นั่นคือ นักการเมืองคนสำคัญก็หลบหนีออกจากเมืองไทย โดยก่อนหน้านี้มีนักกรเมืองหลบหนีคดีท่เกี่ยวข้องกับการทุจริตหลายคน เช่น นายทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศไทย  นายวัฒนา อัศวเหม  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ หรือ หมอโด่ง  อดีตเลขานุการนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี้ยะ อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  คำถามตัวโตๆคือ ทำไมปล่อยให้หนีได้??? คำตอบอาจจะอยู่ในใจทุกคน !!! แก้วกานต์ กองโชค