ภาพแห่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญ มีขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ.64 ที่ผ่านมา เมื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานรับวัคซีนป้องกันโควิด - 19จำนวน 2 ล้านโดส ที่รัฐบาลไทยสั่งซื้อจากบริษัท ซิโนแวค สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเที่ยวบิน ส่งสินค้า TG 675 ได้กลายเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวจากรัฐบาลไทย ที่จะกลับมาทวงความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่เดือดปะทุ จากศึกซักฟอก ที่เพิ่งจบลงไปหมาดๆ จากนี้ไปเมื่อได้รับวัคซีน จำนวน 2ล้านโดสจากซิโนแวคมาแล้ว จะนำไปสู่แผนการกระจายฉีดให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่จะต้องได้รับวัคซีนก่อนใน 18 จังหวัด ซึ่งประกอบด้วย 1.สีแดง พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด มี 1 จังหวัด คือ สมุทรสาคร 2.สีส้ม พื้นที่ควบคุม 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี ตาก และ ราชบุรี 3.จังหวัดท่องเที่ยว 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี(อ.เกาะสมุย) เชียงใหม่ และ 5 จังหวัด คือ ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี และ กระบี่ โดย ในจำนวนวัคซีน 2 แสนโดสแรก จะฉีดให้กลุ่มเสี่ยงใน 13 จังหวัด จากนั้นที่เหลืออีก 1.8 ล้านโดส จะทยอยเข้ามาฉีดให้กลุ่มเสี่ยงเดิมและเพิ่มเติมพื้นที่ใหม่อีก 5 จังหวัด รวมเป็น 18 จังหวัด จริงอยู่แม้ก่อนหน้านี้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนมีการท้วงติง ไปจนการที่ฝ่ายค้านนำไปเป็นประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และอนุทิน เจ้ากระทรวงสาธารณสุข ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มาแล้วก็ตาม แต่ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมว่า อนุทิน ได้สั่งให้ ทีมแพทย์ ของกระทรวงสาธารณสุขแทคทีมตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่รัฐสภา เพื่อชี้แจง หักล้างทุกประเด็นมาแล้ว แน่นอนว่า ในท่ามกลางการเมืองทั้งในและนอกสภาฯที่รุมเร้า เปิดเกมรับลูกกันเป็นจังหวะเดียวกัน ระหว่าง “พรรคฝ่ายค้าน” กับ “ม็อบราษฎร” ซึ่งไม่มีอะไรที่เกินไปจากความคาดหมาย แต่เมื่อวันนี้ เวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ และกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การกำกับดูแลของ “หมอหนู” สามารถจัดหาวัคซีนมาให้กับประชาชนในประเทศ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างเป็นรูปธรรม หลังจากโดนฝ่ายค้านถล่มในสภาฯผ่านไปได้ไม่กี่วัน เช่นนี้ โอกาสที่ความเชื่อมั่นจะ “สวิง” ไปที่รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ย่อมมีสูง ประกอบกับต้องไม่ลืมว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการ “มาตรการเยียวยา” ผู้มีรายได้น้อย ยังเดินหน้าในเวลานี้ จึงเท่ากับว่า ในห้วงนี้จึงเป็นเวทีของ “ฝ่ายบริหาร” อย่างชัดเจน เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็น “ผู้เล่น” และผู้คุมเกม ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ตึกไทยคู่ฟ้า และที่สำคัญยังเป็นการสนองตอบต่อการแก้ไขปัญหาใหญ่ อย่างการหยุดยั้งไวรัสโควิด เพื่อให้ภาวะเศรษฐกิจกลับมาฟื้นขึ้นใหม่ สถานการณ์เช่นนี้ ต้องยอมรับว่า รัฐบาลแทบไม่เหลือพื้นที่เล่นเอาไว้ให้กับ “ฝ่ายค้าน” ได้ตามเช็คบิล หลังเสร็จศึกซักฟอก เลยด้วยซ้ำ !