เสือตัวที่ 6 สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยดูแล้วจะดีขึ้นตามลำดับ จากตัวเลขผู้ติดเชื้อในช่วงต้นและล่วงเลยมาตลอดทั้งเดือนมกราคม 2564 ที่พบผู้ติดเชื้อหลักเกือบพันคน จนลดลงตามลำดับมาจนถึงตัวเลขหลักร้อยกว่าคนที่รวมทั้งการตรวจเชิงรุกในสถานประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและการตรวจคัดกรองจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการในชุมชน จนล่วงเลยมาจนถึงต้นๆ ของเดือนกุมภาพันธ์ ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยลดลงตามลำดับ อาทิ ในวันที่ 9 ก.พ. ที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสร้ายตัวนี้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยสามารถจำแนกออกได้เป็น ติดเชื้อในประเทศ 179 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 10 ราย โดยติดเชื้อในประเทศ แบ่งเป็น ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 123 ราย ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 56 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 956 ราย กลับบ้านแล้ว 18,366 ราย อยู่ระหว่างรักษาตัว 5,301 ราย แบ่งเป็นใน รพ. 2,509 ราย และ รพ.สนาม 2,712 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม จากยอดผู้เสียชีวิตเดิมสะสมอยู่ที่ 79 ศพ ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 23,746 ราย นับเป็นรายที่ 23,558-23,746 ทั้งนี้ จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ประเทศไทยถูกจัดเป็นอันดับที่ 114 ของโลก ในขณะที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลก เมื่อ 10 ก.พ.64 มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสร้ายตัวนี้ (Confirmed) 107,387,986 คน จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ (New Cases) 377,975 คน หากแต่ความเป็นจริงแล้วสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลกนั้น มีสัญญาณแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ต่อวัน จำนวนผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตต่อวันก็ลดลงด้วย อาทิ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีการแพร่ระบาดจากไวรัสร้ายตัวนี้ สูงสุดเป็นลำดับ 1 ของโลก ก็มีแนวโน้มการแพร่ระบาดที่ดีขึ้นชัดเจน หลังผ่านช่วงที่มีความรุนแรงสูงสุดในช่วงต้นเดือนมกราคม 2564 มาแล้ว และภาพโดยรวมดีขึ้นในทุกมิติ ทั้งจากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่ค่อยๆ ลดลงตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2564 เป็นต้นมา และจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน นอกจากนี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเริ่มมีแนวโน้มที่จำนวนผู้เสียชีวิต ซึ่งเมื่อเทียบกับ 2 สัปดาห์ก่อน พบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ต่อวัน ลดลง 30% จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ลดลง 24 และจำนวนผู้เสียชีวิตต่อวัน ลดลง 5% ในขณะที่สถานการณ์ของการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก กำลังดำเนินการอย่างเร่งด่วน มีความคืบหน้ามากขึ้นในหลายๆ ประเทศ ทำให้แนวโน้มสถานการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แม้เป็นความคาดหวังเล็ก ๆ หากแต่ก็เป็นอีกความหวังหนึ่งของมนุษยชาติที่กำลังใช้ความพยายามร่วมกัน เพื่อเอาชนะภัยคุกคามที่มองไม่เห็นนี้ไปให้ได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้ อาทิ ขณะที่ ประธานาธิบดีไบเดน ได้ประกาศเป้าหมายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้ถึง 100 ล้านโดสภายใน 100 วันของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งได้เพิ่มเป้าหมายการฉีดวัคซีนให้ได้ถึง 1.5 ล้านโดสต่อวัน โดยคาดการณ์จำนวนผู้ที่ฉีดวัคซีนจากแนวโน้มดังกล่าวว่าเมื่อครบ 100 วันจะมีผู้ได้รับวัคซีนรวมกันแล้วกว่า 147 ล้านโดส จากการติดตามว่าสถานการณ์การระบาดในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่คาดหวังว่าจะสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ภายในปี 2564 จากผลของวัคซีนที่ต่างเร่งวิจัยพัฒนามาหลายตัว หลายแบบ ของแต่ละประเทศหรือไม่ และยังต้องติดตามการพัฒนาตัวเองแปรเปลี่ยนพันธุกรรมของไวรัสร้ายตัวนี้ จนมีการกลายพันธุ์ใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ จนวัคซีนที่ค้นพบได้ในขณะนี้ ไม่สามารถป้องกันไวรัสโควิดกลายพันธุ์ได้ ซึ่งนั่นคือสัญญาณบ่งชี้ว่า สงครามระหว่างไวรัสโควิด – 19 กับมนุษยชาติยังไม่จบลงง่ายๆ สงครามระหว่างมนุษยชาติกับศัตรูที่สายตามนุษย์มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า จึงเป็นความท้าทายมันสมองของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ที่ครั้งหนึ่งเคยหลงตัวเองว่าปราดเปรื่อง เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลก ให้ต้องสู้กันต่อไป ความแปลกใหม่ของสงครามครั้งนี้ จึงต้องใช้ศักยภาพของมนุษย์ในทุกมิติ ทั้งการคิดค้นยาปฏิชีวนะในการเอาชนะ และเวชภัณฑ์ในการป้องกันรักษาชีวิต รวมทั้งการบริหารจัดการรูแปแบบใหม่ เพื่อการป้องกันตนเองที่หลายๆ ประเทศพยายามหาวิธีในการดูแลตนเอง ควบคู่ไปด้วย ทำให้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่ามนุษย์จะค้นพบวัคซีนตัวใดๆ มาป้องกันไวรัสร้ายตัวนี้ก็ตาม หากในวันนี้ ทั่วโลกต่างเพ่งมองการบริหารจัดการเพื่อควบคุมโรคของไทย ที่กำลังพิสูจน์ตนเองจากการระบาดของไวรัสในรอบใหม่นี้ว่า ความสำเร็จในการควบคุมโรคระบาดจากไวรัสในรอบแรกนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือโชคช่วย หากแต่เป็นความสำเร็จจากฝีมือของประเทศไทยและพี่น้องประชาชนคนไทยที่ร่วมแรงร่วมใจกันฝันฝ่าสู่การควบคุมโรคได้ให้อยู่ในระดับที่พึงพอใจ เพื่อให้ผู้คนในสังคม กลับมาทำมาหาเลี้ยงชีพกันได้ในรูแปแบบใหม่ในยุค New Normal ซึ่งนับได้ว่า การบริหารจัดการการควบคุมโรคระบาดจากไวรัสของประเทศไทยครั้งนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขของไทยมีมาตรฐานระดับสูง และที่สำคัญก็คือการตระหนักรู้และการให้ความสำคัญจากภัยคุกคามกับเรื่องดังกล่าวจนเป็นการให้ความร่วมมือของพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างมากในการป้องกันรักษาตนเองให้รอดพ้นจากเงื้อมือของมหันตภัยตัวนี้ ซึ่งนั่นคือปัจจัยสำคัญของความสามรรถในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายตัวนี้ที่ทั่วโลกให้การยอมรับและชื่นชมประเทศไทยและคนไทยอยู่ในขณะนี้ หากแต่การพัฒนาตัวเองของสิ่งมีชีวิตใหม่ตัวนี้ จะไม่หยุดนิ่งอย่างนี้แน่นอน เพราะมันต้องพัฒนาตัวเองเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเป็นกฎเกณฑ์พื้นฐานสำคัญที่ทุกชีวิตต้องการความอยู่รอดและการขยายเผ่าพันธุ์ และไวรัสโควิด-19 ก็อยู่ในกฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้ ซึ่งนั่นจะทำให้มนุษย์ทั้งโลกรวมทั้งประเทศไทย ไม่อาจหลงระเริง วางใจกับสถานการณ์ที่กำลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น รวมทั้งความภาคภูมิใจในการค้นพบวัคซีนตัวใหม่นี้ได้ เพราะสงครามการต่อสู้ในสนามรบนี้ ยังไม่จบง่ายๆ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนรวมทั้งคนในประเทศไทย จะยังต้องมองไปข้างหน้าอีกหลายก้าว ให้อยู่ในจุดที่เหนือกว่าการพัฒนาตัวเองของไวรัสตัวนี้ให้ได้ เพราะการมองไปข้างหน้า และพัฒนาทุกอย่างให้พร้อมรับมือกับภัยร้ายนี้ จะทำให้มนุษย์ได้เปรียบและไม่ถูกไล่ล่าจากไวรัสตัวนี้อย่างที่เคยเป็นมา