สถาพร ศรีสัจจัง ถ้าจะนับความเป็น “รัฐ” ของสังคมไทยจากหลักฐานที่เป็นเรื่องเป็นราวของความเป็น “เมือง” โดยถือเอาสุโขทัยเป็นจุดนับหนึ่ง “ชุมชนคนไทย” ที่มีรูปแบบการปกครองเป็นแบบ “นครรัฐ” ก็เพิ่งมีอายุเพียงไม่มากกว่า 7-800 ปี โดยถือเอาตัวเลขกลมๆจากหลักฐานในการสร้างเมืองสุโขทัยในช่วงพ.ศ. 1800 เป็นหลัก ซึ่งนั่นก็หมายความว่า สังคมคนไทยได้รับอิทธิพลจากระบบคุณธรรมตามแบบของศาสนาพุทธมาแล้ว อย่างน้อยก็ 7-800 ปีด้วย เพราะหลักฐานนั้นชัดเจนว่าเมืองสุโขทัยสมาทานรับเอาศาสนาพุทธของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมะพระองค์นั้นมาแต่ต้น แต่จากหลักฐานจำนวนมากบอกว่า “คนไทย” ก่อนหน้านั้น อย่างน้อยก็ตั้งแต่ยุค “ทวาราวดี” มา มีอิทธิพลทางความคิดความเชื่อแบบพุทธเป็นแก่นแกนของชุมชน ของผู้คนมาอย่างหนาแน่นลึกซึ้งแล้ว “ทวาราวดี” ตามข้อสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ โบราณคดีนั้นอย่างน้อยก็เริ่มมาตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรตที่ 11 โน่นแล้ว ! น่าสงสัยนักว่าทำไมแก่นธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในเรื่องเกี่ยวกับ “ความละอายต่อบาป” ที่สั่งสอนส่งต่อสืบทอดกันมาอย่างยาวนานเป็นพันปีในสังคมอย่างเรื่อง “หิริโอตัปปะ” จึงเหมือนกับจะไม่มีหลงเหลือซึมซ่านอยู่ในจิตใจของคนไทยยุค “ถิ่นกาขาว” ปัจจุบันนี้เลย ! คนไทยรุ่นลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายที่ต้องเรียนหนังสือในระบบยุคก่อนล้วนท่องหัวข้อธรรมที่เรียกว่า “ธรรมโลกบาล”หรือ “ธรรมคุ้มครองโลก” คำสอนพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของศาสนาพุทธในการอยู่ร่วมเป็นสังคมของมนุษย์ อันได้แก่ “หิริ” ที่มีความหมายว่าต้องเป็นคนที่มีความละอายต่อบาป และ “โอตัปปะ” ที่หมายถึงจิตใจที่เกรงกลัวต่อบาป ถามว่าบาปในศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนานที่สุดคืออะไร? ก็ตอบได้ง่ายๆว่า คือผลของกรรมที่เกิดจากอกุศลมูลทั้งหลาย ที่สำคัญก็คือ โลภะ โทสะ และ โมหะ นั่นแหละ! ยุคความรู้ท่วมกูเกิ้ลอย่างปัจจุบันคงต้องแปลให้ด้วยละมั้งว่า โลภะ ก็คือ ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นอย่างไม่รู้พอเพียง โทสะ คือ ความโกรธ ความเกลียด ความไม่พอใจ มีอารมณ์อยากทำร้ายทำลาย ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะส่วผลให้เป็นคนไม่มีความเมตตากรุณา หรือชื่นชมยินดีในสิ่งที่เป็นสัจจะดีงาม ส่วนโมหะ นั่นยิ่งหนัก ก็คือ ความหลงผิด ความมัวเมาไม่รู้จริง ความยึดมั่นถือมั่น ต่อรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส นั่นไง! ถามว่าทำไมธรรมสำคัญอย่าง “หิริโอตัปปะ” หรือความละอาย และความเกรงกลัวต่อบาปจึงหายสิ้นจากจิตใจหรือสำนึกของคนไทยปัจจุบัน? ก็ความรุนแรงของ “อำนาจกิเลส” ที่มาพร้อมกับการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย โดยไปสมาทานเอาระบบทุนนิยมบริโภคของตะวันตกมาเป็นสรณะแทนพุทธธรรมอย่างไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว/ขาวดำ ไม่รู้จัก “แยกแก่นทิ้งกาก” อย่างที่จิตร ภูมิศักดิ์เคยว่าไว้นั่นไง เป็นต้นเหตุหลักของการพังทลายทางจิตวิญญาณของสังคมไทยที่อยู่กันมาอย่าง “ช้าๆ เรียบๆง่ายๆ และรู้พอเพียง” แม้พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศพระองค์นั้น จะพระราชทานหลักการระบบเศรษฐกิจพอเพียงมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ก็ไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนจะสมาทานนำไปเป็นสรณะ เป็นเข้มทิศชี้ทาง เป็นนโยบายหลัก เห็นมีแต่จะพ่นจะพูดให้พอพ้นไปวันๆว่าได้สนองพระราชดำริกันแล้วก็เท่านั้น ฯลฯ สังคมไทยวันนี้มันถึงวิปริตผิดเพศ ฆ่าฟันกันผิดมนุษย์มะนา คดโกงฉ้อฉล ผลาญพล่าทรัพยากรของชาติทั้งดินน้ำอากาศป่าไม้ ไม่เคารพกฏหมาย ฯลฯ หรือนายกฯลุงตู่ผู้น่ารักและแสนจะเจตนาดีจะยังแลไม่เห็น? ชี้ให้ก็ได้ ก็อย่างเรื่องการโกงค่าเบี้ยล่วงเวลาในองค์การท่าเรือเป็นพันๆล้านที่เพิ่งเป็นคดีครึกโครมสดๆร้อนๆนั่นไง แล้วเรื่อง “บอส กระทิงแดง” ลูกหลานมหาเศรษฐีขับรถชนตำรวจตายละไปถึงไหนแล้ว?