ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะการกลับมาระบาดรอบใหม่อีกครั้ง ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ระบุว่า การระบาดของโควิดปีที่ 2 นี้ทำให้เกิดความเครียดกลับขึ้นมาอีกครั้งในช่วงเดือนมกราคม 2564 เนื่องจากการระบาดรอบใหม่มีความตระหนก เนื่องจากเราคุ้นเคยกับตัวเลขที่ศูนย์ราย โดยพื้นที่มีความตระหนกสูงจะอยู่ในจังหวัดสีส้ม เพราะกลัวควบคุมไม่อยู่ และพื้นที่จังหวัดสีแดงมีความกังวลว่าจะติดเชื้อ เนื่องจากทุกคนผ่านมาตรการปี 2563 แล้ว จึงเริ่มกังวลว่าหากเกิดโรคระบาดขึ้นอีกก็จะมีมาตรการหลายอย่างขึ้นมากระทบชีวิตประจำวัน เช่น การทำงาน โอกาสทางเศรษฐกิจ จึงเกิดความเครียดมากขึ้น โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพจิต คือ 1.ผู้ติดเชื้อและญาติ เพราะกลัวถูกตีตรา 2.ผู้ที่อยู่ในสถานกักกันโรคหรือกักตัวระหว่างรอผลตรวจ อย่างไรก็ตาม ความเห็นของ พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต มองว่ากลุ่มผู้ที่เริ่มเครียดบ้างเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้เกิดการป้องกันตนเอง แต่หากเครียดมากเกินไป จะทำให้ความคิดหมกหมุ่นเสพข่าวมากขึ้นทั้งจริงและไม่จริง หรืออาจจะโต้เถียงกับคนรอบข้างในเรื่องนั้นๆ ด้วย ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนตรวจเช็กสุขภาพใจด้วย Mental Health Check In เพื่อสำรวจตนเองว่ามีความเครียดอย่างไร หากมีข่าวสารที่เข้ามามาก ก็ให้ลดจำนวนชั่วโมงลงบ้าง หากิจกรรมอื่นทำ เปิดตัวเองรับการพูดคุยกับคนอื่นๆ เพราะการที่อยู่กับตัวเอง ความคิดของตัวเรา ก็อาจมองไม่เห็นทางที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ หากเรามีวัคซีนใจที่ดีไปดูแลคนรอบข้างด้วย ก็จะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ยังเปิดเผยข้อมูลสำคัญว่า ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จของคนไทยคงที่ อยู่ที่ 6 ต่อแสนประชากร แต่ในปี 2563 พบว่าอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จไต่ระดับขึ้น โดยเมื่อนำใบมรณะบัตรที่ระบุสาเหตุการเสียชีวิตเป็นฆ่าตัวตาย พบว่าอยู่ที่ 7.3 ต่อแสนประชากร ส่วนภาวะอ่อนล้าทางอารมณ์หรือภาวะหมดไฟในคนทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 6 แต่ในกลุ่มเปราะบางคือ คนที่มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่แล้ว คนที่ต้องกักกันตัว และญาติ จะอยู่ที่ร้อยละ 19 นอกจากนี้ พบว่า การโทรปรึกษาผ่านสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ปัญหาความเครียดส่วนใหญ่เกี่ยวกับโควิด-19 ช่วงเดือนมกราคม จำนวน 1.8 แสนคน จากที่ในปี 2563 ทั้งปีมีการโทรปรึกษาอยู่ที่ราว 7 แสนคน ทั้งนี้ปัจจัยของการฆ่าตัวตายที่ไต่ระดับขึ้นในปี 2563 คือ 1.ปัญหาความสัมพันธ์ส่วนบุคคล กับคนใกล้ชิด หรือคนในครอบครัว ยังเป็นเหตุปัจจัยส่วนใหญ่ 2.ภาวะเจ็บป่วยทางกายเรื้อรัง หรือมีปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้าอยู่เดิมแล้ว และ 3.ผลกระทบจากภาวะเครียดเรื่องเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่น่าสังเกตว่าในช่วงปี 2563 กลุ่มที่ 3 ที่มีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และเป็นกลุ่มที่ต้องเพิ่มการเฝ้าระวังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เหตุปัจจัยในการฆ่าตัวตายมาจากหลายเหตุปัจจัยของแต่ละบุคคล เพียงแต่ในปี 2563 มีการไต่ระดับขึ้นของการฆ่าตัวตาย จึงทำให้ต้องมีการเฝ้าระวัง เพราะโดยทั่วไปเวลาอยู่ในสถานการณ์ที่มีภาวะวิกฤติ มีความเสี่ยงต่อกลุ่มที่เดิมมีความเสี่ยงเดิมๆ อยู่แล้ว ก็จะกลายเป็นเปราะบางมากขึ้น จึงเป็นมาตรการที่จะต้องเตรียมในการเฝ้าระวังดูแล ดังนั้น ในระหว่างรอวัคซีนป้องกันโควิด เราๆท่านๆ ต้องไม่หลงลืมที่จะช่วยกันฉีดวัคซีนใจให้กับตนเอง ครอบครัวและคนรอบข้าง หากมีกำลังก็เผื่อแผ่ไปยังชุมชน บรรยากาศหนึ่งที่อยากให้กลับมาอีกครั้ง คือการแบ่งปัน ผ่าน ตู้ปันสุข หรือชื่ออื่นๆตามสะดวก ที่สะท้อนถึงการแบ่งปันและเอื้อเฟื้อในชุมชน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน หลายแห่งยกเลิกไปแล้ว บางแห่งยังอยู่ อยากให้กลับมาช่วยดูแลกันคนให้ก็สุขใจ คนรับก็อิ่มท้อง