แม้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะยืนยันว่า กรณีปัญหาเบี้ยผู้สูงอายุที่ถูกเรียกคืนโดยหน่วยงานของทางราชการหลายรายในหลายพื้นที่จะเป็นคดีแพ่ง ไม่มีติดคุก แต่ผู้สูงอายุและหลายครอบครัวก็ยังมีความกังวล ซึ่งนายวิษณุ อธิบายว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 412 ซึ่งเป็นการให้ความเห็นที่ถูก แต่ต้องสุจริตและบางคนตนดูแล้วว่าสุจริตแต่ในบางคนผมก็ไม่รู้ ยิ่งบอกว่าเจอกันเป็นร้อยๆ ราย สมมุติว่าคุณไปรับเงินบำนาญมานาน พอโตมาก็มารับเงินคนแก่ อาจจะสุจริตเพราะไม่รู้ และหากต่อมา 2-3 ปี เกิดรู้ จึงเลยตามเลยรับต่อ อย่างนี้เรียกว่าไม่สุจริต ในการรับเงินในส่วนหลัง ต้องมีการสอบเป็นรายๆ ไป ขณะที่ศ .วิชา มหาคุณ ประธานมูลนิธิต่อต้านการทุจริต และอดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกฏหมาย กรณีบอส กระทิงแดง ได้ยกคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10850/2559 ซึ่งได้วินิจฉัยอย่างชัดเจน และจะเป็นบรรทัดฐานที่ต้องยึดถือปฏิบัติกรณีที่ อปท. จะฟ้องดำเนินคดีและเรียกเงินคืนกับ นางบวน โล่สุวรรณ อายุ 89 ปี เบี้ยเงินคนชรา 84,000 บาท ชาวบ้าน ต.ดีเจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ และนางสำฤทธิ์ ภู่สว่าง อายุ 83 ปี ชาวบ้านหมู่ 4 ต.จอหอ อ .เมือง นครราชสีมาจำนวนเงิน 83,383 บาท อันเป็นเบี้ยผู้สูงอายุที่ได้รับค่าครองชีพทั้งที่ได้รับเบี้ยหวัดบำนาญตามสิทธิจากคู่สมรส หรือบุตรที่เป็นข้าราชการซึ่งเสียชีวิตไปก่อนแล้วนั้น ซึ่งเป็นการจ่ายโดยผิดหลง ของ องค์กรปกครองท้องถิ่น จึงเข้ากรณีลาภมิควรได้ ดังนั้นแม้ผู้สูงอายุ ที่รับเงินไว้ จะไม่มีสิทธิได้รับค่าครองชีพอีก แต่เมื่อรับไว้โดยสุจริต และใช้เงินนั้นหมดแล้วก่อนที่จะถูกเรียกคืน ทางองค์กรปกครองท้องถิ่นที่จ่ายไป ก็ไม่มีสิทธิติดตามเรียกเงินค่าครองชีพคืนได้ และผู้สูงอายุนั้นก็ไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้โดยมีแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้วางหลักไว้ชัดเจนแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10850/2559 ซึ่งได้วินิจฉัยไว้ว่า จำเลยไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญตามกฏหมาย แต่โจทก์จ่ายเงินดังกล่าวให้จำเลยไปโดยผิดหลง จึงเป็นเงินที่จำเลยได้รับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฏหมายได้ และทำให้โจทก์เสียเปรียบอันเป็นลาภมิควรได้ หาใช่เป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิ์ติดตามเอาคืนได้อย่างเจ้าของทรัพย์สินไม่ และเมื่อได้ความว่าจำเลยได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญไว้โดยสุจริตและนำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่โจทก์จะเรียกคืน จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 412 ส่วนพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ได้ให้นโยบายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้ง 7,850 แห่งทั่วประเทศพิจารณาดำเนินการแก้ปัญหาไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนจนกว่าเรื่องจะได้ข้อยุติ ซึ่งอาจเป็นการเจรจาหรือชะลอดำเนินการกับผู้สูงอายุ 11,111 ราย ส่วนที่ดำเนินการไปแล้ว 4,052 รายยังอยู่ในระหว่างดำเนินการ และกว่า 1,700 รายยังไม่ได้ดำเนินการ ให้ชะลอไปก่อนเพื่อบรรเทาปัญหา เพราะบางคนมีผลกระทบมาก เช่น คนแก่อายุมาก ผู้ป่วยติดเตียง อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่ารัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง มีดำริแนวทางที่ถูกต้องแล้ว ในการให้กรมบัญชีกลางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาแก้ไขระเบียบเงื่อนไข เพื่อเปิดทางให้ผู้สูงอายุรับ 2 สิทธิได้ ไปพร้อมๆกับการลงพื้นที่ไปทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ที่กำลังตกอยู่ในปัญหาดังกล่าว เพื่อป้องกันมิจฉาชีพฉวยโอกาสและเหลือบในวงจรทุจริตคอร์รัปชันแสวงหาประโยชน์ได้