และแล้วศึกเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 มี.ค.64นี้ได้กลายเป็น “ชนวน” ที่อาจจะทำให้ “สองพรรคใหญ่” ในพรรคร่วมรัฐบาล กำลังจะ “กินเกาเหลา” ชามใหญ่ กันเอง ระหว่าง “พรรคประชาธิปัตย์” กับ “พรรคพลังประชารัฐ” เมื่อต่างฝ่าย ต่างไม่มีใครยอมหลีกให้กัน !
เมื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เลือกส่ง “น้องชาย” ของ “เทพไท เสนพงศ์” มีอันต้องพ้นสภาพการเป็นส.ส. ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ให้เทพไท พ้นจากสมาชิกภาพส.ส.สืบเนื่องจากคดีทุจริตการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครศรีธรรมราช โดยพรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่ง พงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ อดีตรองนายกเทศมนตรีนคร นครศรีธรรมราช ลงรักษาเก้าอี้ส.ส.ตัวเดิมให้กับ พี่ชาย
ขณะที่ พรรคพลังประชารัฐเองที่แม้จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแต่งานนี้ “ไม่มีถอย” เพราะ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็บอกเช่นกันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของประชาธิปไตย ไม่เกี่ยวกับมารยาททางการเมือง
ทางด้าน “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่า หากประชาธิปัตย์เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล และพื้นที่เลือกตั้งเดิมเป็นของพรรคร่วมด้วยกันอยู่แล้ว ประชาธิปัตย์ก็จะไม่ส่งคนลงสมัคร ไปชนกันอย่างแน่นอน
โดยตลอดทั้งวัน ก่อนการประชุมครม. มีรายงานข่าวปรากฎออกมาชัดเจนแล้วว่า พรรคพลังประชารัฐ จะเคาะให้ “อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช ในนามพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เขต 3 นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 โดยได้อันดับ 2 แพ้เทพไท แค่ไม่กี่พันคะแนน เข้าพบเพื่อรายงานตัวกับ พล.อ.ประวิตร
นี่คือกลายเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดอาการหมางใจกันเล็กๆ ระหว่าง “บิ๊กเนม” จากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองทั้งที่ “ศึกนอก” คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น หลังวันวาเลนไทน์ โดยที่ “6พรรคร่วมฝ่ายค้าน” เตรียม “45ขุนพล” เอาไว้ถล่มรัฐบาล ในวันที่ 16-19 ก.พ.นี้
ดังนั้นเมื่อพรรคร่วมรัฐบาล ต่างส่งผู้สมัครของตัวเองลงไปสู้ศึกในการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 3 นครศรีธรรมราช เท่ากับเป็นการ “แข่งกันเอง” ทำให้ “ตัดคะแนนกันเอง” ไปโดยปริยาย แต่ปัญหาที่จะตามมาจากนี้ ยังอาจจะลุกลามไปกวนน้ำให้ขุ่น ทำให้ “หัวหน้าพรรค” 2 คน จากสองพรรค ยิ่งมองหน้ากันลำบากไปด้วยหรือไม่?
แต่อย่างไรก็ดี การตัดสินใจของ ทั้งพล.อ.ประวิตร และจุรินทร์ นั้นอีกด้านหนึ่งยังต้องไม่ลืมว่าย่อมต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หลากเงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการเมืองภายในพรรคของตัวเอง เมื่อทั้งสองพรรคต่างมี “ผู้เล่น” ที่ต้องการลงไปลุยในสนามเลือกตั้งซ่อม เขต 3 นครศรีธรรมราช ทั้งเพื่อ “รักษาพื้นที่” และเพื่อ “ล้างตา” นี่อาจกลายเป็น “เงื่อนไข” ที่บีบให้ หัวหน้าพรรค เองตกอยู่ในความกดดันเสียเอง
สนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต3 นครศรีธรรมราช รอบนี้ กว่าที่ผลแพ้-ชนะ จะออกมา ความขัดแย้งอาจขยายวงกว้างออกไปด้วยหรือไม่ เมื่อทั้งประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐ ต่างอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่า “แพ้ไม่ได้” เพราะจะว่าไปแล้ว สนามเลือกตั้งซ่อมรอบนี้คือศึกแห่งศักดิ์ศรี ด้วยกันทั้งสองฝ่าย !!