เช้าตรู่วันที่ 1ก.พ.64 ทั่วโลกพากันช็อคไปตามๆกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหารขึ้นที่ประเทศเมียนมา กองทัพเมียนมาส่งกำลังควบคุมตัวผู้นำรัฐบาล รวมถึง ออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ ผู้นำเมียนมาในทางปฏิบัติ หัวหน้าพรรคเอ็นแอลดี โดยกองทัพเมียนมา อ้างว่าต้องยึดอำนาจเนื่องจากมีการทุจริตการเลือกตั้งเกิดขึ้น ต่อมาในวันเดียวกัน กองทัพเมียนมาได้ประกาศผ่านสถานีโทรทัศน์เมียวดีทีวี สื่อของกองทัพเมียนมา โดยให้คำมั่นว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่หลังจากสิ้นสุดประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่บังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี ! รวมทั้งได้มีการประกาศโอนถ่ายอำนาจของรัฐบาลทุกส่วนให้กับพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมา แน่นอนว่าเหตุการณ์ทางการเมืองในเมียนมา ได้ถูกนำเสนอสู่ชาวโลกผ่านสื่อต่างประเทศ อย่างต่อเนื่องจากตลอดในช่วงเช้าตรู่ ไปตลอดทั้งวัน สอดรับไปกับปฏิกริยาการเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารจากนานาประเทศ รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะมีการนำการรัฐประหาร การยึดอำนาจจากกองทัพ มาเทียบเคียงกับการเมืองในบ้านเราโดยปริยาย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคำถามพุ่งไปยัง "พี่ใหญ่" อย่าง "บิ๊กป้อม"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกสื่อซักถามว่ามีการโยงเหตุการณ์ในเมียนมากับการเมืองในไทย " โยงยังไง แล้วของเรามีเหตุการณ์อะไร มีเหตุการณ์หรือไม่ มีสถานการณ์อะไรที่มันเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรเลย ถามอะไรไม่รู้เรื่อง" (1 ก.พ.64) การรัฐประหารในเมียนมา กลายเป็น "ชนวน" ที่ทำให้ ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นำมาใช้ทิ่มแทงรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ ซึ่งอย่าลืมว่าพล.อ.ประยุทธ์ เองก็มาจากกองทัพและทำรัฐประหารในนาม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จากวันนั้น จนถึงวันนี้ กว่า 6 ปี ให้หลัง เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์ยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2557 กระแสการโจมตีรัฐบาลคสช.ได้ถูกลดทอนลงไป เมื่อเทียบกับในช่วงแรก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริบทของสังคมและการเมืองในบ้านเรา ที่ทำให้ "บิ๊กทหาร" จากคณะ คสช. ได้เรียนรู้และปรับโหมดจากนายทหาร มาสู่ "นักการเมือง" มากขึ้น และยังน่าสนใจว่ารูปแบบการเดินหน้าทางการเมืองของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงแต่จะแปรเปลี่ยนจาก "บิ๊กทหาร" ไปสู่การเป็นนักการเมืองเท่านั้น หากแต่ยังมีการปรับใช้ "กลไก" ในมือเพื่อตอบสนองการรุกคืบทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการตั้งพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการใช้ "นอมินี" ในช่วงแรก จนมาถึงวันที่ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร ประกาศนั่งตำแหน่ง "หัวหน้าพรรค" ด้วยตนเอง สำหรับประเทศเมียนมา แล้วการรัฐประหารที่เกิดขึ้นครั้งนี้ อาจไม่ได้เกินเลยไปจาก สิ่งที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา เพียงแต่การชิงลงมือของฝ่ายกองทัพที่บุกเข้าไปควบคุมตัวอองซาน ซูจี และผู้นำสูงสุดในรัฐบาล คือการตอกย้ำ ข่าวลือให้กลายเป็นความจริงเท่านั้น ขณะที่รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ปรับโหมดจากคณะ คสช. กำลังเดินหน้าไปสู่การเล่นการเมืองในลักษณะที่ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการปฏิวัติ ทำรัฐประหาร เพราะทุกอย่างได้เลยธงมาไกลแล้ว และที่สำคัญไปกว่านั้นอย่าลืมว่า กว่าที่รัฐบาล คสช.จะใช้เวลาให้นานาประเทศยอมรับ อดทนกับเสียงโจมตีว่าไม่ได้ตามแนวทางประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดาย แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด รัฐบาลคสช. ในภาคต่อ ภายใต้การขับเคลื่อนของรัฐบาล "ประยุทธ์2/2" มี "แผนการเล่น" ที่ตั้งเป้าหมายกินรวบทั้งกระดาน ไปจนถึงการเลือกตั้งรอบหน้า เมื่ออยู่จนครอบเทอม แล้วด้วยซ้ำ !