ดูเหมือนว่า ความร้อนแรง การเมือง "นอกสภาฯ" ดุเดือด ร้อนแรง กันตั้งแต่โหมโรง เพราะยังไม่ทันที่ "ชวน หลีกภัย" ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะนำญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ก็กลายเป็นว่า ญัตติเจ้ากรรม อาจจะทำให้ถึงขั้น "เขย่าสภาฯ" เสียแล้ว
เพราะญัตติขอเปิดอภิปรายฯรอบนี้ กลับมีเรื่องของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง จนทำให้รัฐบาล และ คนดูนอกสภาฯ อย่างประชาชน เกิดความไม่สบายใจ
เมื่อญัตติที่พุ่งเป้าถล่มไปที่ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กลับไปดึงเรื่องของ "สถาบันพระมหากษัตริย์" เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นการเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา แต่ลึกๆแล้ว ก็เหมือนกับความจงใจที่จะใช้เวทีสภาฯ ดึงสถาบันให้ลงมาเกี่ยวข้องกับการเมือง
การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ ความระอุได้ปะทุขึ้น นอกสภาฯ เมื่อส.ส.จากฟากพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ เองต่างออกมาแสดงจุดยืนมา ทั้งการต่อต้านการลงชื่อในญัตติขอให้มีการแก้ไขมาตรา 112
และเมื่อญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังลุ้นกันว่าจะถูกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯ หรือไม่ กำลังกลายเป็น "ชนวน" ที่ทำให้การอภิปรายซักฟอกนายกฯกับอีก "9 รัฐมนตรี" เกิดอาการสะดุด ทุลักทุเล กันตั้งแต่เริ่ม จึงทำให้เวลานี้ "6 พรรคฝ่ายค้าน" ไม่ต่างไปจากการเป็น "ฝ่ายตั้งรับ" แทน
เพราะหากมีการบรรจุญัตติซักฟอกเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯเมื่อใด ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ก็ประกาศแล้วว่าจะยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะเดียวกัน "พรรคร่วมฝ่ายค้าน" ทุกคนที่ร่วมกันลงชื่อในญัตติดังกล่าว ก็จะถูกแจ้งข้อหากระทำการผิดกฎหมายอาญา ตามมาตรา 112 ตามมา
ยังไม่นับรวมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นไล่หลัง เมื่อหากถึงวันประชุมสภาฯเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะด้วยข้อหาที่พรรคฝ่ายค้านหยิบยกมาถล่ม พล.อ.ประยุทธ์ นั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นสถาบัน
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย และพรรคเล็กที่ร่วมขบวน "6พรรคฝ่ายค้าน" กำลังยืนอยู่บนสมรภูมิที่เต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยง ยิ่งทำให้แรงกดดันที่สุดแล้วจะเทไปที่พรรคเพื่อไทย อย่างหนัก เพราะเพื่อไทย จะตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย" มากกว่าใครเพื่อน !
สำหรับพรรคก้าวไกล แล้วแม้จะเป็นพรรคเล็ก แต่สามารถเป็นฝ่าย "กำหนดการเล่น" จนมีการตั้งข้อสังเกตุว่า แท้จริงแล้ว "มือเขียนญัตติ" ในการอภิปรายฯที่ดึงสถาบัน ลงมาเกี่ยวพันกับการเมืองครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่คนของพรรคเพื่อไทย
และไม่ว่าผลลัพธ์ จากการใช้เวทีสภาฯโยงใยไปถึงสถาบัน จะออกมาในรูปใดก็ตาม ที่สุดแล้ว "ม็อบราษฎร" จะรับลูกต่อทันที เพราะอย่าลืมว่าเป้าหมายการเคลื่อนไหวทางการเมืองของม็อบราษฎรแท้จริงแล้วคือการพุ่งเป้าไปยังการปฏิรูปสถาบัน
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเกมทั้งในหรือนอกสภาฯ ก็ล้วนแล้วแต่ ส่งผลให้แสงสปอร์ตไลต์ฉายไปที่ พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และม็อบราษฎร โดยที่พรรคการเมืองใหญ่ อย่างพรรคเพื่อไทย และอีก 4พรรคฝ่ายค้านนั้นต่างอยู่ในสถานะ "ตัวประกอบ" ไม่ใช่ตัวหลัก ตั้งแต่วันที่เนื้อหาสาระในญัตติซักฟอก ถูกเขียนออกมา จนถึงวันที่พรรคฝ่ายค้าน ประกาศว่าจะไม่ยอมแก้ญัตติ แม้แต่คำเดียว !