ที่สุดแล้ว “ฝ่ายค้าน” ก็ยอมถอย ยอมนำญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี เป็นรายบุคคลกลับไป “ปรับแก้” ภายหลังจากที่คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้าน หารือร่วมกันทั้งสองฝ่าย เมื่อพบว่าในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ มีการระบุไปถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์”จนทำให้หลายฝ่ายเกิดความไม่สบายใจ สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่าทางฝ่ายค้านเอง สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน ขอรับไปแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจดังกล่าว ทั้งนี้เมื่อย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ภายหลังจากที่ 6พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ร่วมกันยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และพบว่า ข้อหาที่มีการพุ่งเป้าไปที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งข้อหาที่โจมตีว่าไร้ความสามารถ บริหารงานล้มเหลว ผิดพลาดแล้ว ยังมีการระบุโยงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกด้วย “ไม่ยึดมั่นและศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำลายและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชน นำสถาบันเป็นข้ออ้างเพื่อแบ่งแยกประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะปิดบังความผิดพลาดล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของตนเอง” จากญัตติซักฟอกดังกล่าวได้ทำให้บรรยากาศทางการเมืองกลับมาระอุขึ้นทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ มีปมประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าฝ่ายค้านจงใจตั้งธงพุ่งไปถึง “สถาบัน” และยิ่งเมื่อใน6พรรคร่วมฝ่ายค้านยังมี พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นกลไกทางการเมือง ที่เชื่อมโยงกับ “คณะก้าวหน้า” และ “ม็อบราษฎร” ที่เดินหน้าชูธงว่าด้วยการปฏิรูปสถาบัน อย่างชัดเจน จนทำให้เป็นที่มาของข้อกังขาจากสิระ ว่าแท้จริงแล้ว “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า คือคนที่อยู่เบื้องหลังการเขียนญัตติอภิปรายฯใช่หรือไม่ ? สถานการณ์ทางการเมืองของพรรคก้าวไกล ขาข้างหนึ่งของคณะก้าวหน้า กับเกมการต่อสู้ในเวทีสภาผู้แทนราษฎร ยามนี้อาจต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันรอบทิศรอบทาง เพราะการที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยอมถอย ด้วยการนำญัตติกลับไปปรับแก้ เท่ากับว่าสิ่งที่ “ฝ่ายปฏิรูปสถาบัน” อาจต้องพบกับความผิดหวังในระลอกแรก ล่าสุดยังกลายเป็นว่ามีส.ส.ชลบุรี ของพรรคก้าวไกล “ขวัญเลิศ พานิชมาท” โพสต์ข้อเขียน (ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค x ศรีราชา] ผ่านเฟซบุ๊กโชว์จุดยืนเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 โดยระบุตอนหนึ่งว่า “ กระผมขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค (หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค) ซึ่งกระผมยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมา ” สภาวะ เสียงแตกที่เกิดขึ้นเป็นจุดแรกที่พรรคก้าวไกล อาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่อาจลามไปมากกว่า 1ราย และยังต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่พรรคก้าวไกลจะต้องรับมือระลอกต่อไป คือโจทย์ที่ว่าจะทำอย่างไร จึงจะสามารถรักษาเสียงส.ส.ในพรรคของตัวเองให้ยกมือโหวต “ไม่ไว้วางใจ” รัฐมนตรีทั้ง 10 ราย ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้จริงหรือไม่ ! ?