สถาพร ศรีสัจจัง เมื่อวงสภากาแฟ (น้ำชา) ยามเช้า ที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ บางวงถูกบางใครนำเสนอประเด็นขึ้นในทำนองว่า..ปีนี้ดีจัง ที่ภาคใต้น้ำ (ยัง) ไม่ท่วม ในขณะที่ภาคอื่น เจอจนงอมพระรามกันไปแล้ว ทั้งภาคเหนือ และภาคกลางบางจังหวัด..อีสานนั้นไม่ต้องพูดถึง หลายจังหวัดแผ่นดินกลายเป็นทะเลไปเสียงั้น.. บางใครที่ผลิตสร้างวาทกรรมดังกล่าวยังตอกย้ำสำนึกเพื่อนร่วมวงอีกว่า..อย่าลืมบริจาคช่วยเหลือพี่น้องอีสานกันให้มากๆหน่อย ปีก่อนที่ปักษ์ใต้บ้านเราน้ำท่วม พี่น้องไทยทุกภาค..โดยเฉพาะอีสานเขาช่วยกันอย่างเต็มที่... ยังไม่ทันที่บางใครซึ่งยกประเด็น “น้ำท่วม” ดังว่า จะวิตกวิจารณ์จบความ เสียงเข้มๆหนักๆก็ขัดขึ้นกลางลำแบบไม่เกรงใจเสียก่อน ทั้งยังแทรกเสียหัวร่อร่วนเหมือนชอบอกชอบใจอะไรเสียนักหนา “เสียงสวน” ที่แสดงความไม่เห็นด้วยแบบที่คนปักษ์ใต้เรียกกันว่าเป็น “พวกหัวหมอ” นั้น ว่าดังนี้ “ใครว่าปักษ์ใต้บ้านเราน้ำไม่ท่วม มันท่วมเสียจนบ้านจะล้มเมืองจะละลายอยู่ตั้งนานแล้ว ท่วมมานานจนจะเน่าไปทั้งเมืองใต้แล้วละมั้ง.. ที่อื่นไม่รู้ แต่ 5 จังหวัดชายแดนเราท่วมแน่...” พอมีใครออกอุทานแบบรำคาญพวกชอบขัดคอเพื่อนในทำนอง “น้ำบ้าน้ำบออะไรของมันวะ...” เจ้าคนปากแรงแย้งคำเพื่อนก็กระแทกคำตอบเสียงดังฟังชัดไปทั้งร้านน้ำชา จนโต้ะรอบข้างต่างชะเง้อดู คิดว่าวงสภากาแฟนั่นจะมีเรื่องมีราวอะไรกัน คำที่ “นักสวนกระแทก” เน้นเสียงจนทำเอาใครต่อใครสะดุ้งกันทั้งร้านก็คือ... “น้ำใบกระท่อมไง..ไม่ใช่น้ำบ้าน้ำบอ” เที่ยวนี้ทุกใครในร้านน้ำชาก็ถึงบ้างอ้อ..พยักหน้าเชิงเห็นด้วยกันไปถ้วนหน้าอยู่หงึกๆแบบหลาย หงึกๆทีเดียว ! แล้วประเด็น “น้ำใบกระท่อมท่วมปักษ์ใต้” ก็กลายเป็นประเด็นอภิปรายแทนที่ประเด็นน้ำท่วมภาคอีสานที่บางใครนำเสนอค้างไว้เสียโดยพลัน! หลังจากอภิปรายกันอย่างกว้างขวางทุกแง่ทุกมุม วงสภากาแฟที่เมืองชายแดนภาคใต้วงนี้ในวันนั้นก็ได้ข้อสรุป ได้คำถาม และได้ข้อสังเกตุที่สำคัญๆหลายประการด้วยกัน จากหัวข้อ “น้ำใบกระท่อมท่วมภาคใต้” เลือกเอาประเด็นที่สำคัญสุดจริงๆได้มาประมาณดังนี้ 1.เกือบร้อยละร้อยของหมู่บ้านในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้(สงขลา-สตูล-ปัตตานี-ยะลา และนราธิวาส)มีผุ้เสพหรือกินน้ำใบกระท่อมทั้งสิ้น กินกันมายาวนานพอควรแล้ว และแผ่ขยายอย่างกว้างขวางเปิดเผยจนอาจเรียกได้ว่ากลายเป็น “วิถีวัฒนธรรมแห่งชีวิตของหมู่บ้าน” ไปแล้วในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมที่ทำแบบ “รวมกลุ่มย่อย” (3-10 คน) ของบรรดาวัยรุ่น(บ้างก็มีผู้ใหญ่ร่วมด้วย)ในหมู่บ้าน และในพื้นที่ๆมีสถาบันระดับอุดมศึกษาตั้งอยู่(ตั้งแต่ระดับโรงเรียนพานิชย์ ช่างกล วิทยาลัย จนถึงระดับมหาวิทยาลัย) 2.จากข้อสรุปดังกล่าวทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เมื่อรู้ว่าผู้บริโภคอยู่ในทุกพื้นที่เช่นนี้แล้ว ทำไมจึงไม่รู้ว่า วัสดุสำคัญคือใบกระท่อมมาจากไหน ใครคือผู้ผลิต ใครคือผู้ค้ารายใหญ-รายย่อย และใครที่ร่ำรวย หรือได้รับผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม(ทางอ้อมก็เช่น ได้รีดไถ(หลากรูปแบบ) ได้ขายส่วนประกอบอื่นในการผลิตน้ำกระท่อมแต่ละครั้งแต่ละหม้อ เช่น การขายยาแก้ไอ การขายน้ำดำ การขายน้ำแข็ง ฯลฯ จากกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่สร้างหายภัยร้ายแรงที่สุดต่อฐานรากของสังคมภาคใต้อยู่ในขณะนี้ 3.รู้ทั้งรู้อยู่ว่า ชุมชนชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้านส่งเสริมการทำสวนต้นกระท่อมกันอย่างกว้างขวาง(เพราะถูกกฎหมาย)ตั้งแต่รัฐเคดะห์ปะลิส ยาวลงทะเลไปจนถึงเกาะลังกาวีโน่น ก็เพื่อส่งมาขายฝั่งไทยล้วนๆ (ฝั่งเพื่อนบ้านแค่กิโลกรัมละ200-500 บาทแต่ฝั่งไทยอย่างต่ำ 800 จนถึง 2,000 บาทไปโน่น ใบกระท่อมข้ามแดนมาได้อย่างไรทั้งทางทะเลสตูล ทางบกแถบด่านวังปราจันท์ ยาวไปจนถึงปาดังเบซาร์และด่านนอกที่สะเดาเมืองสงขลา..เจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องนอนหลับฝันหวานกันหมดหรืออย่างไร? ทั้งชาวด่านชาวมหาดไทยและชาวตำรวจ เป็นต้น นั่นแหละ... 4.ข้อสังเกตุสุดสำคัญก็คือ..ถ้ารัฐไทยยังปล่อยให้สถานการณ์ปักษ์ใต้ถูกน้ำใบกระท่อมยึดครองอยู่อย่างนี้ โดยผบ.ตำรวจแห่งชาติไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย..นายกฯลุงตู่เอ๋ย..ไม่ต้องมีใครมาปล้นปืนหรือมาทำอะไรหรอก พอถึงยุค “คนกินท่อมครองเมือง” (เป็นผู้นำครอบครัวและสังคม) ก็ลองจินตนาการกันเอาเองดูเถิดพระคุณ...ว่าแผ่นดินมันจะไม่ฉิบหายมหาวินาศได้ยังไง!!! หรือเรื่องขนาด “สิ่งที่เห็นจริงแล้ว” เช่นนี้ ยังต้องให้ชาวบ้านตาดำๆที่ไร้เครื่องมือใดๆแบบราษฎร ชาวสวนยางพารา สวนปาล์น้ำมัน ฯลฯที่แค่ทำมาหากินไปวันๆก็จะขาดใจตายกันอยู่แล้ว ต้องหา “ใบเสร็จ” มาให้กันอยู่อีก?