ในห้วงเวลานี้ อาจเป็นไปได้ว่า อาจมี "ใครบางคน" ในหมู่แกนนำกลุ่มราษฎร คงอดที่จะนึกขอบอกขอบใจ วิกฤติที่เกิดขึ้นทั่วโลก และลามมากระทบถึงประเทศ ว่าด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ภาวะกดดัน ตลอดจนแรงเสียดทานจากบรรดาพี่น้องร่วมรบ จะต้องพากันพุ่งตรงมาที่แกนนำอีกรอบ
ทั้งฝ่ายที่เรียกร้อง ต้องการให้ปลุกม็อบ ระดมมวลชนกันขึ้นมาใหม่ เพื่อผลักดัน "3 ข้อเรียกร้อง"ให้บรรลุเป้าหมาย ทั้ง 1.ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากการเป็น นายกรัฐมนตรี 2.ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ และ 3. การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะผ่านมาเนิ่นนานหลายเดือนแล้ว แต่ทุกข้อเรียกร้องกลับไม่มีอะไรเรื่องไหนที่เข้าใกล้เป้าหมายเลยทั้งสิ้น !
เมื่อผู้คนถูกปลุกขึ้นมาจากแกนนำเยาวชน ที่ประสานกับ "แกนนำการเมือง" อย่าง "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" และ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" แกนนำคณะก้าวหน้า ตลอดจนได้ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้าน อย่างพรรคก้าวไกล ที่แม้จะเป็นพรรคเล็ก ที่เพิ่งแจ้งเกิดในสนามการเมือง แต่กลับมีบทบาทเหนือพรรคฝ่ายค้านพรรคอื่นอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นเมื่อความหวัง ของมวลชนที่ต้องการผลักดันให้ 3 ข้อเรียกร้อง บรรลุเป้าหมาย ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว บนความเชื่อมั่นว่า แกนนำเยาวชนจะต้องนำพาให้ข้อเรียกร้องเกิดขึ้นได้จริง อีกทั้งยังมี ส.ส.พรรคก้าวไกล คอยรับลูกสานต่อ อยู่อีกทางในเวทีสภาฯ
แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่คาดหวัง อาจ "สวนทาง"กับ "ความเป็นจริง" อย่างสิ้นเชิง ! เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ระลอกใหม่ นับตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา กำลังสร้างผลกระทบอย่างหนักหน่วง ซึ่งถือว่าหนักหนากว่าเมื่อรอบแรก ที่ไทยเผชิญหน้ากับไวรัสโควิด ในราวต้นปี 2563 อย่างชัดเจน
ดังนั้นจึงหมายว่า เวลานี้ ผู้คนจึงต้องพากันเอาตัวรอด "รักษาชีวิต" จากไวรัสโควิด ไปพร้อมๆ กับการประคับประคองตัวเองและครอบครัวให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่ แกนนำม็อบราษฎรเอง ต่างพากันเดินขึ้นโรงพักเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ในคดีความต่างๆ โดยเฉพาะคดีอาญา ในความผิดตามมาตรา112 การดูหมิ่นสถาบัน ส่งผลให้แกนนำเองต่างอยู่ในภาวะที่ "ติดล็อค" ทรัพย์สิน เงินทองต่างร่อยหรอ เมื่อต้องถูกนำมาใช้ในระหว่างการต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และมีแกนนำตามต่างจังหวัดเริ่มทยอยนำทรัพย์สินส่วนตัวออกมาประมูล ผ่านหน้าเพจเฟชบุค เพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี
ในภาวะเช่นนี้ จึงยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า นอกจาก 3 ข้อเรียกร้องของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล มุ่งโจมตีสถาบัน จะห่างไกลความสำเร็จ แล้ว ยังพบว่า แกนนำที่เป็นแนวร่วมม็อบราษฎรต่างอยู่ในสภาพที่อ่อนล้า กันไม่น้อย เพราะอย่าลืมว่า "น้ำเลี้ยง" ที่มาจากการระดมทุนทั้งที่เปิดหน้า เปิดเผย ไปจนถึงคนที่อาศัย ม็อบล้มรัฐบาล มาร่วมลงขันนั้น ย่อมไม่ได้กระจายไปสนับสนุนแกนนำกันอย่างทั่วถึง
ดังนั้นเมื่อ "ทัพใหญ่ "ไม่แข็งแรง แกนนำอ่อนล้า มวลชน ต้องกลับไปทำมาหากิน และเอาชีวิตให้รอดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด การชุมนุมใหญ่ที่เคยประกาศกันเอาไว้เมื่อปลายปีที่แล้ว ว่าปีนี้ 2564 จะ "ปัง" อย่างที่สุดนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ที่จะเหลือฝากความหวังเอาไว้ที่ เกมอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาล โดย "พรรคฝ่ายค้าน" ที่มีขึ้นในสมัยประชุมสภาฯ ครั้งนี้ ก็ยังต้องลุ้น และรอกันต่อไปว่า ที่สุดแล้ว บิ๊กตู่และครม.จะสะเทือน หรือไม่ !?