คอลัมน์ ทางเสือผ่าน
สมบัติ ภู่กาญจน์
‘การให้ความรู้แก่ผู้คนในสังคมไทย’ ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพูดการอธิบายให้คนทั่วไปได้ ‘รู้จักและเข้าใจ’ เรื่องของการเมืองการปกครองให้มากขึ้น นั้น ‘แตกต่าง’จากการแสดงภูมิรู้ของท่านผู้รู้ทั้งหลายทั้งปวงในยุคปัจจุบันนี้มาก
นี่ก็เป็นเหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้ผมพยายามนำประวัติศาสตร์แห่ง ‘ความคิดและการกระทำ’ของอาจารย์คึกฤทธิ์ มานำเสนอให้ผู้อ่านในยุคนี้ได้รับทราบเพื่อการพิจารณา
ด้วยความรู้สึกที่ว่า ความรู้เหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะหาได้ง่ายๆเพียง ‘เปิดเน็ตดูแล้วก็จะรู้’ ในยุคนี้ - ยุคที่ผู้รู้ทุกคนมีความรู้สูงมีความรู้มาก แต่หลายคนขาดความสามารถ ที่จะ “ทำความรู้นั้นให้คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายๆ” ว่าสิ่งนั้นสำคัญเพียงใด?
เมื่อห้าสิบปีผ่านมาแล้ว คนรุ่นพ่อหรือรุ่นปู่ของคนไทยส่วนใหญ่ในยุคนี้ ซึ่งนั่งดูการปฏิวัติรัฐประหารมาหลายครั้ง มองเห็นการกระทำหลังการปฏิวัติรัฐประหารทุกครั้งแล้วสงสัยว่า การมีรัฐธรรมนูญที่ดีกับการเป็นประชาธิปไตยที่ดีนั้นมันเกี่ยวข้องกันแค่ไหน? ทำไมการปฏิวัติทุกครั้งต้องเลิกรัฐธรรมนูญเก่าแล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่กันอีก ซึ่งพอร่างเสร็จแล้วผู้ร่างฯก็บอกว่าดีกว่าเดิมทุกครั้ง แต่แล้วเมื่อใช้ไปสักพักหนึ่ง ก็ไม่วายต้องปฏิวัติรัฐประหารแล้วก็ร่างฯกันใหม่ทุกที
ผู้สงสัยท่านนี้อยากได้ความเห็นจากคึกฤทธิ์ และอยากได้คำแนะนำที่ประชาชนควรรู้จักเรื่องการเมืองไทย
คำตอบต่อไปนี้ ก็คือ ‘การให้ความรู้แก่ผู้คนในสังคมไทยแบบคึกฤทธิ์’ ที่ผมอยากให้ผู้อ่านพิจารณา
“ก่อนอื่น จะต้องตอบว่า รัฐธรรมนูญไม่ใช่ยาแก้สารพัดโรค
เพราะรัฐธรรมนูญแต่เพียงอย่างเดียวหรือฉบับเดียว ไม่สามารถจะทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาได้
การเป็นประชาธิปไตยได้นั้นขึ้นอยู่ที่ใจของคนทั้งปวง ที่จะต้องมีจิตใจนึกถึงคนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ”
ข้อความเพียงสามย่อหน้าเท่านี้ ทุกคนอ่านแล้ว น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก และความเข้าใจง่ายจะเกิดได้ต่อไปอีก ถ้าเราจะติดตามการขยายความ ในตอนต่อมา
อย่าคิดว่า รัฐธรรมนูญฉบับเดียว จะสามารถทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยได้โดยฉับพลันทันที เราจะต้องสร้างต้องทำอะไรต่ออะไรกันอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในใจของคนทั้งปวง ให้รู้จักและเข้าใจประชาธิปไตย
ถ้าใจของคนทั้งปวงยังไม่เป็นประชาธิปไตยเสียแล้ว รัฐธรรมนูญกี่ร้อยฉบับ ก็จะไม่ทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาได้..........
รัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย จะไม่สามารถแก้ปัญหาของแพง ปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาโจรผู้ร้ายชุกชุม หรือปัญหาอื่นๆได้
หากใครจะนึกว่าพอประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว เราเป็นประชาธิปไตย แล้วปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไปเอง ใครที่นึกอย่างนั้น ระวังจะต้องผิดหวัง.......อย่านึกเช่นนั้น เราต้องคิดกันให้ดีๆ
การที่จะทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์นั้น คนทุกคนต้องรู้จักเสียสละ คือยอมเสียสละสิทธิธรรมชาติที่เรามี เพื่อสิทธิประโยชน์ส่วนรวม ที่จะเกิดขึ้นแก่คนที่มีจำนวนมากกว่า
สิทธิธรรมชาติที่เรามี นั้นจะรวมทั้งสิทธิที่จะเบียดเบียนคนอื่นด้วย .... ถ้าเกิดว่าเราจะมีอำนาจมากกว่าหรือแข็งแรงกว่าคนอื่น การใช้จ่ายเงินเป็นเบี้ยบ้ายรายทางเพื่อให้ได้สิทธิ์เหนือคนอื่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือทำผิดแล้วใช้เงินวิ่งเต้นให้พ้นโทษหรือไม่ต้องรับโทษรับผิด อย่างนี้เป็นการใช้สิทธิธรรมชาติเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเราเอง หรือผลักความผิดให้พ้นจากตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อคนอื่น การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นสิทธิธรรมชาติที่ทุกคนมีอยู่ ที่เราจะต้องไม่ใช้มัน
คนทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน ควรต้องฝึกตนให้รู้จักเสียสละสิทธิธรรมชาติเหล่านี้ และช่วยกันทำให้สิทธิที่จะก่อประโยชน์แก่ส่วนรวมเกิดขึ้นมา
รัฐธรรมนูญที่ดี จะต้องเขียนด้วยความเมตตา และเขียนด้วยความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เขียนด้วยความกลัวหรือเกลียดในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเขียนเพื่อรักษาอำนาจของตนหรือกลุ่มตนให้ดำรงคงอยู่ในอำนาจต่อไปอีก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ควรรู้ควรสอนหรือควรบอกแก่คนส่วนใหญ่ในสังคมไทย”
นี่คือตัวอย่างของ ‘การให้ความรู้แก่ผู้คนในสังคมไทย’ แบบคึกฤทธิ์ ที่บอกผู้คนไว้ตั้งแต่ก่อนปี 2500
‘วิธีการแบบคึกฤทธิ์’ จะมีการสร้างความรู้แบบต่อเนื่อง ซึ่งในปัญหาเรื่องเดียวกันนี้ หากจะมีการซักถามเกิดขึ้นอีก คึกฤทธิ์ก็จะขยายความต่อ ในคำว่า ‘เมตตา’
“เมตตาตัวนี้จะเป็นเมตตาที่อยู่ในคำสอนของศาสนาพุทธ ซึ่งหมายรวมถึงความรักความเข้าใจ ความปราถนาดีที่อยากให้ผู้อื่นมีความสุข มีจิตที่เปี่ยมด้วยไมตรี คิดถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่มนุษย์หรือสัตว์ส่วนใหญ่ หรือถ้าจะให้ทันสมัยจะรวมไปถึงโลกและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนี้ก็ได้ด้วย” ตลอดระยะเวลาที่ผมได้รับการเรียนรู้จากอาจารย์คึกฤทธิ์ ผมจำขึ้นใจในคำสอนแนวนี้ รวมทั้งประเด็นที่สำคัญต่อมาอีกประการหนึ่ง ก็คือจากศาสนา อาจารย์คึกฤทธิ์ก็จะโยงตอไปได้ถึงเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ในสังคมไทย
“อีกเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญในสังคมไทย คือเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐธรรมนูญกับพระมหากษัตริย์อันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน มีประโยชน์ และมีความลึกซึ้งเป็นพิเศษ เพราะไทยเรามีสถาบันนี้ ซึ่งแตกต่างจากอีกหลายประเทศในโลก ที่เขามีหรือไม่มี
แม้แต่คำว่าราชอาณาจักร ที่จะต้องปรากฏอยู่ในถ้อยคำในรัฐธรรมนูญทุกฉบับว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบงแยกมิได้”นั้น คำว่าราชอาณาจักรย่อมหมายถึงอาณาจักรของพระราชาซึ่งเป็นผู้ทรงคุณลักษณะสามประการคือ ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนยิ่งอยู่เหนือเกล้า ทรงเป็นผู้ครอบครองแผ่นดินหรือเป็นเจ้าชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือทรงเป็นธรรมราชา คือ “ทรงบำเพ็ญพระองค์เป็นแบบอย่างที่วิเศษยิ่งในคุณธรรมทุกข้อของผู้ปกครอง”
สิ่งเหล่านี้ เป็นส่วนเกี่ยวข้องที่คนไทยผู้สนใจการเมืองควรจะรู้ หรือทำความรู้จัก ให้มากกว่าจะรับรู้แต่ตำราฝรั่ง แนวคิดฝรั่ง แล้วก็พยายามที่จะท่องความคิดฝรั่งเหล่านั้นให้กับคนฟัง ที่เป็นคนไทย
นี่คือเพียงส่วนเสี้ยวของตัวอย่าง ที่ผมอยากให้คนในยุคปัจจุบันได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ว่าเมืองไทยในอดีต เราเคยมีอะไรมาบ้างแล้ว และเคยผ่านการเปลี่ยนแปลงทั้งหนักหน่วงมากมายมาไม่น้อยกว่ายุคนี้ ที่การเปลี่ยนแปลงยังมีอยู่ ทั้งของไทยและของโลก แม้ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างจะแตกต่างทางรูปลักษณ์ไปบ้างด้วยผลทางเทคโนโลยี แต่วิญญาณและจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เปลี่ยน ความคิดและการกระทำของคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เปลี่ยน มากนัก จากการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ที่ยังไม่เกินร้อยปีของประเทศไทย
มองออกไปจากตัวเองหรือของกลุ่มเราเอง แล้วไปดูคนอื่นที่เขาก็มีความเป็นตัวของเขาเอง และเขาก็ต้องอยู่ร่วมในสังคมเดียวกันกับเราเอง คือสังคมไทย ให้มากๆกันเข้าไว้เถิดครับ
โลกยังต้องหมุนต่อไปในวันหน้า แต่ชีวิตมนุษย์ทุกคนไม่ยาวนานเลย ถ้าจะเทียบกับชีวิตประเทศไทยที่ต้องอยู่ต่อไปในโลก