การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพรรคการเมือง ในโลกยุคใหม่ ที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันหลากหลาย ทั้งความทันสมัย การรู้เท่าทันของประชาชน ไปจนถึงการขับเคลื่อนพรรคการเมืองเพื่อรับใช้ “เป้าหมาย” และ “อุดมการณ์” ของตนเอง ในท่ามกลาง กฎหมาย กฎกติกา และวิถีใหม่ที่โถมเข้ามา ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นกับทุกพรรคการเมือง
แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย นั้นอาจอยู่ในบริบทที่น่าสนใจไม่น้อย ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น จึงมีสัญญาณจาก “บิ๊กเนม” อย่าง “ภูมิธรรม เวชชยชัย” ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการการเมืองพรรคเพื่อไทยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุค เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ถึงความสำคัญว่า พรรคเพื่อไทยต้องเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง และบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “อยากดิสรัปตัวเอง”
“ เราก็กำลังคิด และกำลังวางกันอยู่ว่าเราจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างไร เพราะควรจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเรากำลังจะศึกษากันอยู่ ทั้งนี้ ยังอยู่ในช่วงที่กำลังคิดกันว่าจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง โดยกรอบความคิดหลักคือ มือในสภาไม่เท่าศรัทธามหาชน
ดังนั้น จะอยู่จะไป ก็ต้องเอาคนที่คิดกันดีๆ ใกล้เคียงกันให้มากที่สุด แล้วเดินหน้าทำงาน ซึ่งเราคิดว่า ภายใน 1-2 เดือนนี้ต้องคิด และสรุปออกมาซึ่งเราอยากดิสรัปต์ตัวเองในการที่จะปรับลุค และอะไรหลายๆอย่าง ซึ่งคงจะต้องมีการประชุมเพื่อสรุปกันอีกครั้งหนึ่งว่าจะเปลี่ยนอะไรบ้าง แต่จะทำให้พรรคเพื่อไทยก้าวไปข้างหน้า ทันสมัย และยึดมั่น พร้อมกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย”
น่าสนใจว่าสัญญาณที่ภูมิธรรม ส่งมาครั้งนี้ จะสะท้อนถึง “ความคิด” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ทรงอิทธิพลตัวจริงเสียงจริงของ พรรคเพื่อไทยด้วยหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า ภูมิธรรม คือ “มือทำงาน” ของทักษิณ มาตั้งแต่ยุคทำพรรคไทยรักไทย
วันนี้ต้องยอมรับว่า พรรคเพื่อไทยที่แม้จะเป็น “พรรคอันดับหนึ่ง” ในสังเวียนสภาผู้แทนราษฎร และเป็น “พรรคแกนนำฝ่ายค้าน” แต่กลับเป็นฝ่ายที่ถูก “พรรคก้าวไกล” พรรคใหม่ที่มีจำนวนส.ส.น้อยกว่า “ไล่ต้อนเข้ามุม”มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนเกิดวิวาทะข้ามพรรค มาตั้งแต่ยังมี “พรรคอนาคตใหม่” จนมาถึงพรรคก้าวไกล
นอกจากนี้ “ความพ่ายแพ้” ครั้งหลังสุดจากการเลือกตั้งสนามอบจ. ที่ผ่านมา ก็ชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งนายกอบจ. มาเพียง 9 ที่นั่งจากที่ส่งลงสนามเลือกตั้งทั้งสิ้น 25 จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังพบว่าในสนามเลือกตั้งอบจ.เชียงใหม่ กว่าที่ผู้สมัครของพรรค จะสามาถเอาชนะคู่แข่ง ลงได้ ก็ต้องใช้พลังหลายสิบส่วนจาก ทักษิณ ออกโรง ออกหน้ามาช่วยหาเสียง และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเปิดช่องให้ “ฝั่งตรงข้าม”ใช้ข้อกฎหมายดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดในข้อหา ครอบงำและบงการโดย “คนนอก”
วันนี้พรรคเพื่อไทย กลับไม่ใช่ “คู่ต่อสู้”สำหรับ “รัฐบาล” ทั้งที่ควรจะเป็น แต่กลับกลายเป็นว่า พรรคก้าวไกลคือพรรคการเมืองหน้าใหม่ที่ถูกจับมาประจันหน้ากับรัฐบาลและตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม
แน่นอนว่าหากยังปล่อยให้สถานการณ์ภายในพรรคดำเนินต่อไปเช่นนี้ โอกาสที่เพื่อไทยจะเดินเข้าสู่ แดนอันตราย โอกาส “ตาย” มากกว่า “โต” เมื่อการเลือกตั้งรอบหน้ามาถึง จะยิ่งเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น
การปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจภายในพรรคเพื่อไทย ตามสัญญาณที่ถูกส่งมาครั้งนี้ อาจกำลังสะท้อนให้เห็นได้ว่า นี่คือจังหวะของการเก็บกวาด ปรับเปลี่ยน จัดสรร “อำนาจ” ภายในพรรคเพื่อไทย สำหรับคนที่ยังเหลืออยู่ในพรรค ว่าจะสามารถทำให้พรรคกลับมาผงาดได้ครั้งหรือไม่ !