นาทีนี้การเคลื่อนไหวของ “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” เหลือเพียงเวทีเดียว นั่นคือเวทีสภาผู้แทนราษฎร เวทีนิติบัญญัติ ที่จะใช้ตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล ที่มี “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นั่งคุมบังเหียน อยู่เบื้องหน้า เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดรอบใหม่ และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรง มีตัวเลขผู้ติดเชื้อขยายวงออกไปไม่ต่ำกว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศ ภายในระยะเวลาไม่ถึง1เดือน ทำให้รัฐบาล ในฐานะฝ่ายบริหารต้องกลับมาทำหน้าที่บริหารสถานการณ์ เพื่อป้องกันและหยุดยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ครั้งนี้โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา คือการที่ระบบสาธารณสุข ,เศรษฐกิจ และสังคม อาจจะ “พัง” กันทั้งหมด เวลานี้ ความวุ่นวายทางการเมืองทั้งในและนอกเวทีสภาฯที่เคยตั้งท่า รอ “ถล่ม” รัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ มีอันต้อง “ติดเบรค”กันไปตามๆกัน การชุมนุมของ “ม็อบราษฎร” ที่แกนนำเคยประกาศกร้าว ว่าเมื่อล่วงเข้าปี 2564 จะมีการยกระดับการชุมนุม ให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ท้าทายให้รัฐบาลเตรียมรับมือ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คือการที่บรรดาแกนนำม็อบราษฎร ต่างพากันเดินขึ้น-ลง โรงพักเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา อีกทั้งยังเข้าสู่กระบวนการทางคดี ในฐานความผิดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอาญา มาตรา 116 ไปจนถึงมาตรา 112 ที่มีการดูหมิ่นสถาบัน ไปจนถึงการกระทำความผิดเข้าข่ายพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมทั้งการฝ่าฝืนคำสั่งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯต่างกรรม ต่างวาระ หมายความว่า เมื่อแกนนำม็อบอ่อนแรง เมื่อต้องรับมือกับคดีความ ซึ่งแน่นอนว่าโอกาสที่จะมี “แนวร่วม” หรือ “ผู้สนับสนุน”ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือทั้งทุนรอน หรือการส่ง ทนายความเพื่อช่วยต่อสู้คดี ก็ใช่ว่าจะมีขึ้นกับแกนนำทุกคน หรือแนวร่วมที่ถูกดำเนินคดี ขณะที่โอกาสที่พรรคฝ่ายค้านในสภาฯ จะใช้เวทีสภาฯเพื่อตรวจสอบ รัฐบาล ก็พลันจะริบหรี่ลงไป เมื่อล่าสุดมีคำสั่งทั้งจากสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ให้เลื่อนการประชุมออกไปอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ รัฐสภา เกียกกายเองก็เคยพบว่ามีผู้ติดตามของผู้มาชี้แจงในอนุ กมธ.ศึกษาผลกระทบคาสิโนออนไลน์ ที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งมาจากจ.ระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่มีความเสี่ยงสูง เพราะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ซึ่งบุคคลดังกล่าวก็มีความเกี่ยวข้องกับส.ส.พรรคก้าวไกล นั่นเอง แต่ถึงกระนั้น โอกาสที่แม้จะเหลือเพียงน้อยนิดสำหรับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มี “พรรคเพื่อไทย-พรรคก้าวไกล” เป็นแกนนำหลัก จึงต้องหาทางที่จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยจะพุ่งเป้าไปที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์ ที่การ์ดตกเอง จนทำให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด รอบใหม่ มาจากวงการพนัน สถานบันเทิง รวมทั้งยังมีประเด็นเรื่องขบวนการแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ล่าสุด “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ส.ส.นครราชสีมา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคฝ่ายค้านเตรียมที่จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงท้ายของเดือนม.ค.นี้ ราววันที่ 27 ม.ค.อีกทั้งยังต้องการให้ไฟเขียวอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างเต็มที่ ด้วยกันถึง7 วัน จากเดิมที่เคยได้เวลา 3วัน และหากฝ่ายค้านไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ทันในสมัยประชุมนี้ ก็หวังว่าจะเสนอขอเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ แต่ดูเหมือนว่า “ความหวัง” ของพรรคร่วมฝ่ายค้านอาจไม่เป็นไปตามที่หวัง เมื่อ “มือกฎหมายรัฐบาล”อย่าง “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ออกมาระบุแล้วว่า ตามกฎหมายแล้วไม่สามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาฯ วิสามัญ อีกทั้ง กฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 154 บัญญัติว่า ปีหนึ่งให้ยื่นญัตติอภิปรายได้ 1 ครั้ง “ปัญหาคือการยื่นกับการอภิปรายมันคนละส่วนกัน แต่ไม่เป็นไรหรอก ขอให้ยื่นให้เสร็จภายในวันที่ 28 ก.พ.กัน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสมัยประชุม เหมือนกับครั้งที่แล้วที่มีการอภิปรายจนปิดสมัยประชุมสภาฯ ดังนั้น อย่างเพิ่งไปเดา หรือสงสัยอะไรเลย เพราะตามข้อบังคับสภาฯ กำหนดไว้ว่า ประธานสภาจะต้องตรวจสอบรายชื่อและวินิจฉัยเป็นการด่วน และรีบบรรจุ ดังนั้น โอกาสบรรจุในสมัยประชุมมันทัน” วิษณุ ระบุ พร้อมทั้งโยนลูกไปที่ “ชวน หลีกภัย” ในฐานะประธานสภาฯ ว่าจะหาทางออก หรือวินิจฉัย อย่างไร ความหวังแม้จะริบหรี่ แต่นาทีนี้ ไม่ว่าจะเป็นสนามไหน หนทางใด ที่พอจะมีช่องทาง ให้ “ฝ่ายค้าน” ได้ขยับ ก็ต้องทำหน้าที่เป็น “ผู้เล่น” ให้ดีที่สุด !!