กระแสขานรับ “โครงการคนละครึ่ง” จากพี่น้องประชาชน ออกมาในทิศทางที่ถือว่าเป็น “บวก” ต่อรัฐบาล ของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่น้อย ถึงแม้จะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อยู่บ้าง จากบางคนบางฝ่าย แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ส่งใดๆ โครงการคนละครึ่ง จนถึงวันนี้ได้เดินหน้าเข้าสู่ เฟส 2 รอบแรกไปแล้ว โดยเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา ได้เปิดให้มีการลงทะเบียนในจำนวน 5 ล้านคน ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ปรากฎว่า มีผู้สนใจเข้าร่วมจนครบสิทธิ์ 5 ล้านคนไปเรียบร้อย ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยกับสื่อว่าอาจจะเป็นไปได้ที่จะเปิดเฟสที่ 3 และเฟสที่ 4ตามมา แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาในหลายๆด้านก่อน และเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในเรื่องเดียวกันว่า กระทรวงการคลัง จะขอดูผลในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยยังต้องพึ่งพาการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนภายในประเทศ ซึ่งถ้าการใช้จ่ายในระดับประชาชน หรือในระดับฐานรากมีมากขึ้น จะเป็นการช่วยและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เร็วยิ่งขึ้น “โครงการที่จัดทำขึ้นมาเพื่อกระตุ้นภาคจับจ่ายใช้สอยโดยได้รับผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะร้านค้าร้านอาหาร รวมถึงร้านหาบเร่แผงลอยก็ได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน และยังส่งผลให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น” อาคม พูดถึงโครงการคนละครึ่ง ถึงความสำเร็จ เมื่อประชาชน ตอบรับโครงการคนละครึ่ง อย่างท่วมท้น แม้จะมีปัญหาในระหว่างทางอยู่บ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว ต้องยอมรับว่า จากโครงการที่ตอบสนองความต้องการ ตอบโจทย์ให้กับประชาชน ไปจนถึงแม่ค้า พ่อค้าไปจนถึงแผงลอย ได้ทำให้เกิดการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยอย่างแท้จริง และที่น่าสนใจไปกว่านั้น โครงการดังกล่าว ยังทำให้รัฐบาล และพล.อ.ประยุทธ์ ได้รับเสียงเรียกร้อง จากผู้คนในสังคมให้ออกเฟสที่ 3 และเฟส 4 ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ สั่งเดินหน้าให้สำนักนายกรัฐมนตรี รวบรวมผลงานของแต่ละกระทรวง เพื่อเตรียมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงาน โดยบอกว่า อยากให้รัฐมนตรีที่ทำงานแบบปิดทองหลังพระ ได้ออกมาพูดบ้าง ! การเดินหน้าในลักษณะที่เรียกว่า “รุก” ในทุกทาง ในคราวเดียวกัน ทั้งการผลักดันโครงการที่ตอบโจทย์ “ได้ใจ” ประชาชน โดยเฉพาะเพื่อตอบสนองเรื่องปากท้อง เป็นสำคัญ รวมทั้งยังเตรียมให้พีอาร์ผลงานรัฐบาล สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความจงใจของฝ่ายรัฐบาล ที่ต้องการ “ยึดพื้นที่” ทั้งจากสื่อไปจนถึงการแยกประชาชน ออกจาก ความขัดแย้งและความวุ่นวายทางการเมือง อย่าลืมว่า ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ กลุ่มผู้ชุมนุมในนามกลุ่มราษฎร ได้ส่งผลกระทบต่อหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นต่อตัวรัฐบาล , พล.อ.ประยุทธ์ เอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวร้าว หยาบคายที่กระทบ ไปถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” จนกลายเป็นประเด็นที่มีความเปราะบางและปลุกให้ผู้คนในสังคม หันมาแบ่งฝ่าย แบ่งข้างกันเอง เมื่อโครงการคนละครึ่ง คือความได้เปรียบ ที่รัฐบาลต้องเร่งสานต่อ และเปิดเกมบุกต่อ โดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า ถ้าไม่เปิดเกมรุก เพื่อบุกต่อในรอบนี้ ในปีหน้า เมื่อม็อบตั้งตัวได้ ก็จะพากัน “ขยับ” ไล่รัฐบาล เดินหน้าจาบจ้วงสถาบันกันต่อ เมื่อถึงเวลานั้นสถานการณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ ที่เคย “เป็นต่อ” ก็อาจจะเป็นฝ่ายที่ต้อง “เพลี่ยงพล้ำ” กู้คืนไม่ทันการณ์ !!