คำว่า “คอมมิวนิสต์” หวนกลับมาอยู่ในโฟกัสของสังคมการเมืองไทยอีกครั้ง ภายหลังเพจเยาวชนปลดแอก เปิดตัวการเคลื่อนไหวในรูปแบบ 'RT MOVEMENT' หรือทีมข้อเดียวมูฟเมนต์ พร้อมโลโก้ค้อนเคียวสัญลักษณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์
โดยพยายามขยายแนวร่วมด้วย “คีย์เวิร์ด” ของการสื่อสารไปยัง เป็นนักเรียน พนักงานออฟฟิศ นอกเครื่องแบบ ชาวนา ข้าราชการ “เราทุกคนล้วนเป็นแรงงานผู้ถูกกดขี่”
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เพจดังกล่าวเพิ่งจะอธิบายข้อดีของความเป็น “สาธารณรัฐ” ไปหยกๆ
เรื่อง “คอมมิวนิสต์” มีมุมมองที่น่าสนใจ จากคอลัมน์ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ โดยทหารประชาธิปไตย ในสยามรัฐรายวัน ฉบับประจำวันที่ 16 สิงหาคม 2562 เรื่อง “ความพ่ายแพ้ของพรรคคอมนิสต์แห่งประเทศไทย :ในมุมมองของข้าพเจ้า”โดยขออนุญาตตัดตอนมานำเสนอ แบ่งเป็น 2 ตอนจบดังนี้
“ได้มีโอกาสรับเชิญไปในงานคล้ายวันเกิดครบ 72 ปี ของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือ คุณชายอุ๋ย และได้รับแจกหนังสือ “ในหนึ่งแผ่นดิน” ของท่าน ซึ่งเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าและต้องถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ หรือจดหมายเหตุที่บันทึกจากประสบการณ์ของท่าน
อย่างไรก็ตามในหนังสือดังกล่าวท่านได้บันทึกไว้เกี่ยวกับเรื่องคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นบทสั้นๆที่กล่าวถึงการดำเนินการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน โดยให้ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นกองหน้าไปเจรจากับท่านนายกจูเอนไล นายกรัฐมนตรีจีน จนพัฒนาไปสู่การพบปะกันระหว่าง ฯพณฯ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไทยกับท่านประธานเหมาเจ๋อตุง และนำไปสู่การที่จีนยุติการให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แน่นอน ฯพณฯ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ นั้นท่านเป็นคนมีเสน่ห์และมีศิลปะการเจรจาในระดับสูง แต่ที่อยากจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเป็นข้อคิดในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ คือเบื้องหลังการถ่ายทำ
นั่นคือ การเจรจาการเมืองระหว่างประเทศมันไม่ใช่แค่ผู้นำไปพบกัน เอามือกุมเป้า พูดแค่เยส โน อาห๊ะ แต่มันต้องมีทีมงาน ที่ต้องทำงานอยู่เบื้องหลัง ที่มีความรู้ ความเข้าใจ ความต้องการของคู่เจรจา นอกเหนือจากเสน่ห์และศิลปะการเจรจาชั้นสูง เพื่อให้ผู้นำเขาเปิดไฟเขียวไปสู่การเจรจาในรายละเอียด
ผู้เขียนจึงขอนำเสนอในภาคส่วนนี้เท่าที่มีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ และเป็นมุมมองของผู้เขียนเท่านั้นก่อนจะพูดถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ ก็ขอสรุปสถานการณ์การเมืองในขณะนั้นพอสังเขป
กล่าวคือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประสบความสำเร็จอย่างมากในการขยายพื้นที่ปลดปล่อยจากอำนาจรัฐ จนรัฐบาลทหารเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ยิ่งส่งทหารไปปราบก็ยิ่งสูญเสีย ล้มตายและบาดเจ็บพิการก็มาก ทั้งนี้เพราะรัฐบาลเผด็จการนั้นไม่เข้าใจอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ และยิ่งเผด็จการรวบอำนาจและเด็ดขาดมากเท่าไร แม้จะได้เปรียบทางทหาร แต่ก็พ่ายแพ้ในทางอุดมการณ์ทางการเมือง
ผู้เขียนเคยนำเสนอให้มีการสอนเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า แต่ผู้บังคับบัญชามองว่าจะไปสอนให้นักเรียนนายร้อยเป็นคอมมิวนิสต์หรือ เกือบถูกตั้งกรรมการสอบด้วยซ้ำ แต่ผู้เขียนก็อธิบายว่า ได้ทำตามยุทธศาสตร์ของซุ่นหวู นั่นคือ “ต้องรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ก็ชนะร้อยครั้ง” จึงรอดตัวไม่ถูกสอบ แต่ก็ยังไม่มีการสอนเรื่องนี้จนอีกหลายปีต่อมา” (อ่านต่อฉบับหน้า)