เศรษฐกิจไทยกำลังจะโงหัว โครงการคนละครึ่งกำลังกำลังกระตุ้น ให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปาก การท่องเที่ยวกำลังคึกคัก แต่บรรยากาศก็กลับมาอึมครึม เมื่อข่าวคราวของไวรัสร้าย โควิด-19 กลับมาหลอกหลอนคนไทยอีกครั้ง
กรณีมีคนไทยจำนวนหนึ่งเดินทางกลับจากเมียนมา โดยลักลอบเข้าประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.เชียงราย ก่อนแยกย้ายกระจายไปตามจังหวัดต่างๆ กระทั่งต่อมามีการตรวจพบว่ามีการติดเชื้อโควิด-19 มาจากทางประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดความหวาดกลัวกันว่าจะเกิดการระบาดในวงกว้าง เป็นการระบาดซ้ำในระลอกสอง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนพฤศจิกาบน องค์การอนามัยโลก เพิ่งประกาศยกย่องไทยเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยม ที่รัฐบาลและสังคมทำงานร่วมกัน ทำให้ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ( โควิด-19 )ประสบความสำเร็ต แม้ไทยจะเป็นประเทศแรกที่พบผู้ติดเชื้อโควิด - 19 นอกประเทศจีน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกประเทศทำตามแบบอย่างประเทศไทย เพราะไม่มีประเทศไหนที่สามารถระบุได้ว่า เตรียมพร้อมรับมือต่อการระบาดของโควิด-19 ได้ดีแล้ว หรือไม่มีบทเรียนให้เรียนรู้ได้อีก
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้มุมมองกรณีกลุ่มคนไทยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19ลักลอบกลับจากเมียนมาร์เข้ามาในไทย ว่ามีองค์ประกอบครบถ้วนที่นำไปสู่การระบาดซ้ำภายในสองถึงสามสัปดาห์หน้า หากแจ็กพอต
เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อที่มีอาการ มักมีปริมาณไวรัสในร่างกายสูง และมีโอกาสแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ง่าย ผู้ติดเชื้อได้ตะลอนกันไปทั่ว ทั้งทางบกและอากาศ มีการว่าจ้างรถสาธารณะ ทั้งมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ รถตู้ รถโดยสาร และเครื่องบิน แถมไปหลายหลายจังหวัด กระจายหลายภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และเมืองหลวงและ พฤติกรรมดื่มเหล้าสูบบุหรี่ มีทั้งผับ บาร์ ปาร์ค ร้านอาหาร ฯลฯ ใส่หน้ากากบ้างไม่ใส่หน้ากากบ้าง
รศ.นพ.ธีระ ระบุว่าข้อดีของปรากฏการณ์นี้มีเพียงอย่างเดียวคือ เคสที่ติดเชื้อนั้นไปเสาะหาการตรวจด้วยตนเองที่คลินิกหรือโรงพยาบาลเอกชน ทำให้เราทุกคนได้ทราบว่าเขาติดเชื้อ และจึงมีการกระตุ้นให้ระบบการติดตามและเฝ้าระวังได้เริ่มทำงานจนตรวจหาผู้สัมผัสอื่นๆ ตามมามากมายดังที่เห็น
“ปรากฏการณ์นี้ย้ำเตือนให้เราต้องยอมรับว่า ระบบคัดกรองกักตัว 14 วันตามมาตรฐานทางการแพทย์นั้นสำคัญที่สุด และต้องบังคับใช้กับทุกคน ไม่ย่อหย่อน การคิดชงลดวันกักตัว หรือกักบ้างไม่กักบ้าง หรือไม่กักตัวนั้น ล้วนเป็นความคิดที่จะนำไปสู่หายนะ นอกจากนี้ระบบการตรวจคัดกรองโควิดที่มีในปัจจุบันนั้นเป็นแบบตั้งรับ และไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะป้องกันและรับมือความเสี่ยงต่อการระบาดซ้ำได้ จำเป็นจะต้องขยายบริการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และเอื้อให้ทุกคนทั้งที่ถูกกฎหมายหรือไม่ถูกกฎหมาย สามารถเข้ารับการตรวจได้โดยไม่ต้องกลัว ตรวจได้โดยจะมีอาการหรือไม่มีก็ได้ นี่คือการลงทุนโดยแลกกับสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชนทุกคนและระบบเศรษฐกิจของทั้งประเทศ”
กระนั้น ในส่วนของรัฐบาล ที่ขณะนี้แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะรอดพ้นจากคดีบ้านพักหลวง ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่แรงเสียดทานจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองยังคงอยู่ จุดแข็งเรื่องของการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นสิ่งเดียวที่ต้องป้องกันไว้ ไม่ให้กลายเป็นจุดอ่อน