ดร.วิชัย พยัคฆโส [email protected] ผิดหวังไปตามๆกันโดยเฉพาะ “พรรคเพื่อไทย” กับ กลุ่มคณะราษฎร ” ที่ยังคงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ลาออก ซึ่ง “พรรคเพื่อไทย” ได้ส่งเรื่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งค่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าผิดกฎหมาย พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ วันที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยตีความออกมาแล้วว่าพลเอกประยุทธ์ ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะการเข้าพักอาศัยบ้านพักรับรองทหารบกนั้น มีระเบียบของกองทัพบกรองรับ รวมทั้งการจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ-อื่นๆ ให้อีกด้วย โดยมิได้รับเงินอื่นใดนอกเหนือจากนั้น แม้ว่าจะขาดจากการเป็นผู้บัญชาการทหารบกมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แต่ระเบียบของกองทัพบกเขียนไว้ว่าอาจพิจารณาบุคคลที่พ้นไปแล้วสามารถที่จะเข้าพักอาศัยต่อได้ ประกอบกับบ้านพิษณุโลกยังซ่อมไม่เสร็จ สมควรจัดหาที่พักอันสมเกียรติและปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรีจึงสามารถพักอาศัยบ้านพักรับรองนั้นได้ จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว คงส่งผลให้พรรคฝ่ายค้านและกลุ่มคณะราษฎรที่หวังว่าคำวินิจฉัยคงเป็นคุณแก่พวกเขา แต่กลับกันนายกรัฐมนตรียังอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี คงทำให้คณะราษฎร คงต้องหาเหตุอื่นมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกให้เกิดผลต่อไป คงต้องหาเหตุอื่นมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกให้ได้แต่จะเป็นเรื่องใดคงต้องลองดู คณะราษฎรหรือพรรคเพื่อไทยจะตกลงกันที่จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งคงต้องแสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีด้วยที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาด้วยความเป็นธรรม จากนี้ไปนายกรัฐมนตรีคงต้องลุยงานต่ออีกมาก โดยเฉพาะการพิจารณา FTA กับ EU ที่รอดูมานาน เดือนมกราคม กระทรวงพาณิชย์จะนำมาทบทวนใหม่ ซึ่งมีเรื่องกังวลใจเกี่ยวกับเมล็ดพันธ์พืชกับยารักษาโรคจะมีราคาสูงขึ้นก็ตาม แต่คงแก้ไขได้ เพราะจะทำให้ประเทศไทยได้โอกาสทางการค้าและการลงทุนค่อนข้างมาก ที่ได้คือจะทำให้ GDP โตขึ้นอีก 1.28% หรือ 2.05 แสนล้านบาทต่อปี ได้เปรียบส่งออก 2.16 แสนล้านบาท หรือ 2.83% แต่ได้เปรียบนำเข้า 2.09% หรือ 2.81% ก็มากพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้พอควร ส่วนการเปิดเสรีภาคบริการจะได้ 8.01 แสนล้านบาท หรือ 5% ที่เพิ่มขึ้น ถือว่าคุ้มค่า ในขณะที่เวียดนามและสิงคโปร์ลงนามไปแล้ว เขาได้ประโยชน์จากการส่งออกไปมาก หากไทยไม่ลงนาม FTA กับ EU จะเสียเปรียบและเสียโอกาสมากกว่า ถึงแม้ว่าจะล่าช้าไปบ้างแต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะพิจารณาที่จะเป็นมิตรกับ EU 27 ประเทศ นอกจากนี้อาจเชื้อเชิญให้ 27 ประเทศมาลงทุนในโครงการ EEC ได้อีกทาง ค่อยๆเจรจาไปเขาคงเห็นว่าประเทศไทยปลอดภัยกว่าประเทศอื่นๆ อันเกิดจาก COVID-19 ที่ประเทศไทยมีคุณภาพในแวดวงสาธารณสุขที่เป็นเลิศอยู่แล้ว ใครๆก็อยากจะเลือกประเทศไทยเพื่อลงทุนในอนาคต มั่นใจได้ว่าประเทศไทยพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว มีแต่จะทะยานหัวขึ้นทางด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่หวือหวามากนักแต่มีโอกาสเติบโตได้สูง แม้ว่าจะถูกยื่นร้องเรียนว่ารับค่าน้ำ-ไฟเกินกว่าสามพันบาทอีกรอบก็ตาม คงต้องตื้อไม่ยอมลาออกตามคำเรียกร้องของม็อบบนถนนที่พยายามกันอยู่