สมบัติ ภู่กาญจน์
ผมนำปาฐกถาเรื่อง “การเมืองไทยในปัจจุบันและอนาคต” ที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แสดงไว้ในการอภิปรายทางวิชาการเมื่อปี พ.ศ.2514 มาเริ่มต้นไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในชื่อเรื่องว่า การเมืองไทยในปัจจุบันและอนาคต - มองเมื่อปี 2514 โดยคนไทยชื่อคึกฤทธิ์
เจตนาที่จะนำเสนอ ก็เพื่อเพิ่มพูนข้อมูลข่าวสารให้คนในยุคปัจจุบันได้รู้ว่า สังคมไทยได้เคยมี-เคยเป็นอะไรอย่างไรกันมาแล้วบ้าง และคนไทยในอดีต ที่เขามีเจตนาดีต่อประเทศชาติ เขาได้พยายามคิด-พยายามทำสิ่งไหนกันมาแล้วด้วยวิธีใด
ในชื่อเรื่องที่ผมตั้งว่า “มองเมื่อปี 2514 โดยคนไทยชื่อคึกฤทธิ์” ก็เพื่อต้องการจะเน้นมิติเรื่อง “เวลา” ว่า ณ ขณะนั้นคือเมืองไทยปี 2514 ซึ่งอนาคตของยุคนั้นก็คือปัจจุบันนี้เอง ที่กาลเวลาผ่านพ้นมาแล้ว 46 ปี แต่เมืองไทยได้ก้าวไกลจากอดีตมาแค่ไหน? และนักคิดหรือนักวิชาการในขณะนี้ เคยคิดเปรียบเทียบดูบ้างหรือไม่ว่า ในการแก้ปัญหาสำคัญบางอย่างของประเทศนั้น ความคิดของไทยหรือของฝรั่ง อันไหนจะให้คำตอบที่ดีกว่า และเราเคยสนใจกันบ้างหรือไม่ว่า ความคิดของ “คนไทย” ที่เขาเคยผ่านร้อน-หนาวในอดีตกันมาแล้วนั้น เขาได้เคยให้คำแนะนำอะไรไว้บ้างและอย่างไร?
บ้านเมืองไทยในยุคนี้ ข้อมูลข่าวสารหลายหลาก อันมาจากเจตนาดีที่จะทำให้คนเพิ่มพูนโลกทรรศน์ จะช่วยสร้างภูมิต้านทานให้กับคนในสังคมโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้มากขึ้น นี่คืออีกเจตนาหนึ่งที่ผมขอฝากไว้เป็นข้อคิดด้วย
ปาฐกถาของคึกฤทธิ์ ที่แสดงไว้เมื่อปี 2514 สองปีก่อนที่การเปลี่ยนแปลงใหญ่(อีกครั้งหนึ่ง)ในเมืองไทย จะเกิดขึ้น ยังมีข้อความต่อมาอีกดังนี้ครับ
“แต่ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ส่วนรวมหรือส่วนตนก็ตามที กลุ่มพลเรือน หรือกลุ่มข้าราชการพลเรือนไม่เคยคิดที่จะทำตนให้สามารถรักษาประโยชน์ของตน หรือบังคับการให้เป็นไปตามที่ตนต้องการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ ต้องอาศัยpressureหรือกำลังดันจากกลุ่มทหารทั้งสิ้น และเพื่อที่จะให้การเป็นไปตามความประสงค์ของตน กลุ่มข้าราชการพลเรือนก็ต้องยอมเอาบางอย่างไปแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปรารถนา
ของที่เอาไปแลกนั้นก็คือ ความเคารพเชื่อฟังในกลุ่มทหาร การยอมตัวเป็นลูกน้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของกลุ่มทหาร และการยอมปฏิบัติตามคำสั่งของกลุ่มทหาร ที่แม้ว่าในบางกรณี อาจจะไม่ตรงตามความประสงค์ของของตน หรือตนเองก็ไม่เห็นด้วยนัก ก็ตามที
นอกจากนี้แล้ว ทางด้านการเมือง อันได้แก่นักการเมืองต่างๆในประเทศไทย ถ้าเราดูให้ดีๆจะเห็นได้ว่ากลุ่มการเมืองในบางส่วนนี้ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีความประสงค์ที่จะตั้งตนเป็นกลุ่มหรือเป็นPressure Groupขึ้นเลยในสังคมไทย ดังจะเห็นได้จากการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา นักการเมืองส่วนใหญ่ ล้วนอยากเป็นรัฐบาล อยากสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรครัฐบาล หรือพรรคที่ตนคาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล..........( หมายเหตุ; ในเทปต้นฉบับได้มีการอ้างถึงพรรคการเมืองร่วมสมัยในยุคนั้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์พ้นสมัยแล้ว ผมจึงขออนุญาตตัดตอนข้อความออกไปบ้าง เพื่อให้เหลือเพียงส่วนที่สอดคล้องกับสาระที่จะนำเสนอ) ไม่มีใครคิดที่จะตั้งตนเป็นPressure Groupขึ้น เพื่อจะได้แข่งขันช่วงชิงอำนาจจากกลุ่มอื่นๆได้บ้าง ไม่มีเลย แม้แต่ผู้แทนพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ที่เราหวังว่าจะได้ช่วยเป็นปากเสียงคัดค้านรัฐบาลในเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้บ้าง เช่น......... ( เอ่ยชื่อพรรคการเมืองพรรคหนึ่งซึ่งขณะนี้ยังมีอยู่ และระบุพฤติการณ์บางประการที่ก็พ้นสมัยมานานแล้วอีก ผมจึงขออนุญาตตัดออกอีกครับ)ที่ผมเห็นอย่างนี้ ถ้ามองผิดไปก็ต้องขออภัย เพราะพฤติการณ์บางอย่างของท่านทำให้เห็นเช่นนั้นจริงๆ
ทีนี้ก็มาถึงกลุ่มผลประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มเอกชนที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าPrivate Sector อันมีความหมายถึงกลุ่มธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มธนาคารต่างๆ กลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์อยู่สมชื่อจริงๆ เพราะมีเงินมีทอง มีอำนาจเงินและควบคุมเศรษฐกิจของประเทศอยู่ กลุ่มนี้เองก็ไม่ปรารถนาที่จะตั้งตนหรือแสวงหาหนทางที่จะทำให้ตนเป็นPressure Group ที่น่าจะร่วมกันคิดสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยขึ้นได้อีก เพราะคนกลุ่มนี้ก็ยังคงกระทำการเช่นเดียวกับกลุ่มอื่นๆคืออาศัยเพียงPressureจากกลุ่มทหาร ซึ่งมีอำนาจทางการเมือง นั้น มาผลักดันให้การต่างๆเป็นไปตามความประสงค์ของตน การกระทำของกลุ่มเอกชนPrivate Sectorเหล่านี้ นิยมทำด้วยการเชิญผู้มีอำนาจทางการเมืองในกลุ่มทหาร เข้ามาเป็นประธานกรรมการในหน่วยงานหรือบริษัทของตน ไม่ว่าจะเป็นการเชิญที่ตัวโดยตรง หรือญาติมิตร คนสนิทชิดใกล้ หรือบริวารของผู้มีอำนาจเหล่านั้น นี่คือสิ่งที่เขาทำกัน
สิ่งเหล่านี้ คือสภาพของการเมืองไทยที่เห็นและเป็นอยู่ทุกวันนี้ เราจะไปตำหนิว่ากลุ่มทหารแสวงหาอำนาจแต่ฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่ากลุ่มอื่นไม่แสวงหา นี่คือความเห็นที่ผมขอพูดตรงๆออกมา...... คิดต่อไปอีก... และถ้าหากว่าฝ่ายทหารเกิดไม่หวงอำนาจ พร้อมที่จะยกอำนาจทางการเมืองให้แก่กลุ่มอื่นแล้ว เราก็ควรต้องถามตัวเองว่า มีกลุ่มไหนบ้างที่พร้อมจะเข้ามารับอำนาจทางการเมืองได้ ผมขอสารภาพตรงๆว่า ผมยังมองไม่เห็นว่าจะมี ทุกวันนี้ ผมไม่เห็นกลุ่มผลประโยชน์ใดๆในประเทศไทยเลย ที่พร้อมจะเข้ามารับอำนาจทางการเมือง แม้แต่ความรู้สึกที่ว่าตนเป็นกลุ่มผลประโยชน์เดียวกัน ผมก็ยังมองเห็นยาก นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเอง ที่พร้อมจะรับฟังคำวิจารณ์จากท่านอื่น ที่หากจะมีใครลุกขึ้นบอกผม พร้อมแสดงเหตุผลว่า สิ่งที่ผมคิดผมเห็นนั้นผิดเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผมอยากจะได้ยินเป็นที่สุด และพร้อมที่จะยอมรับผิดทุกอย่างที่พูดมา
เมื่อสภาพการณ์มันเป็นอยู่เช่นนี้ ปัญหาที่เราควรพิจารณากันต่อไปก็คือ แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป.............
ปาฐกถานำ ก่อนการอภิปราย (ในหัวข้อดังกล่าวนี้) ยังไม่จบครับ ท่านผู้สนใจต้องติดตามต่อสัปดาห์หน้า และสิ่งที่ต้องย้ำอีกครั้งก็คือ ความเห็นนี้มีขึ้นเมื่อปี 2514
ขอให้นึกถึง สภาพของวันนั้นกับวันนี้ จากที่ไม่เคยมีอะไรเลยมาถึงวันนี้ เรามีอะไรมากเกินกว่าที่เรา(บางคน)จะรู้ ด้วยซ้ำ แต่สรุปแล้ว การเมืองของเรามีความก้าวหน้าขึ้นหรือเปล่า? ขอให้อ่านไป-คิดไป กันให้ดีๆครับ