แสงไทย เค้าภูไทย ร่าง พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เป้าหมายมุ่งดำเนินคดีผู้ทุจริตที่เป็นนักการเมืองโดยให้มีการพิจารณาคดีลับหลัง ถูกมองว่ามุ่งจัดการกับทักษิณ ชินวัตร แต่ผลกระทบระยะยาวอาจเกิดโดยไม่คาดคิด หลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ลงมติเอกฉันท์เห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ (พรป.)ว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยสาระสำคัญที่สุดคือการให้มีการพิจารณาคดีลับหลังจำเลย ซึ่งโดยหลักทั่วไปแล้ว การพิจารณาคดีจะต้องกระทำต่อหน้าจำเลย เพื่อให้สิทธิในการสู้คดีแก่จำเลยอย่างเต็มที่ หลังสนช.โหวตผ่าน บรรดาสื่อมวลชนเกือบทุกสำนักต่างก็นำเสนอข่าวที่มีบทสัมภาษณ์ทั้งฝ่ายกฎหมายและฝ่ายบริหารของพรรคเพื่อไทยและทั้งฝ่ายอัยการ โดยมีคำถามประเด็นคดีอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นการเจาะจง ทางด้านอัยการชี้ว่า เมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกใช้ คดีนายทักษิณที่ศาลจำหน่ายคดีชั่วคราว ก็จะกลับมาเดินต่อ คือศาลสามารถนำขึ้นมาพิจารณาคดีลับหลังได้ แม้จะไม่มีตัวจำเลยมาขึ้นศาล แต่จำเลยก็สามารถตั้งทนายความมาสู้คดีแทนได้ เมื่อข่าวและรายงานออกมาในรูปนี้ ประชาชนทั่วประเทศก็ย่อมจะเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ไปในทำนองเดียวกัน คือตราขึ้นมาเพื่อดำเนินการกับทักษิณและพวกพ้องโดยเฉพาะ และยังมีการตั้งข้อสังเกตอีกว่า กฎหมายฉบับนี้ ประธานยกร่างเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ผลของกฎหมายปะกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและนักการเมืองที่ต้องคดีอาญาที่หนีคดี จะต้องหนีคดีไปตลอดชีวิต ตายเมื่อใด ก็จำหน่ายคดีถาวร แม้นักกฎหมายส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ เพราะขัดหลักนิติธรรมและกฎบัตรสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยหลายคนแนะให้ใช้ ม. 44 แทน เพราะเห็นว่า ตราบใดที่ คสช.ยังอยู่ ตราบนั้นการใช้ ม.44 ก็ยังเป็นความชอบธรรม เมื่อใดมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อนั้น ม.44 ก็สิ้นสภาพ ส่วนกฎหมายที่ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือผ่านกระบวนการออกกฎหมายโดยสมบูรณ์นั้น แม้จะออกมาอย่างรัดกุม ผูกปมไว้ยากจะแก้ไขได้ แต่ก็ไม่ควรวางใจ เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งส.ส.ใหม่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนสนช.ที่หมดสภาพไปตามคสช. วุฒิสภาที่แต่งตั้งโดยคสช.ก็ใช่ว่าจะอยู่ค้ำฟ้า มีวันหมดวาระเช่นกัน คนที่เหมาะสมหรือคนที่อยากจะเป็นย่อมมีหนทางเข้ามาแทนที่ได้เช่นกัน มีการเสนอให้ คสช.อยู่ยาวถึง 10 ปีด้วยเงื่อนไขและกลไกที่วางกันไว้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนปม หวังจะให้ปกป้องสิ่งที่สร้างเอาไว้ในยามนี้ แต่ผลงานหลายๆด้านที่เป็นจุดอ่อน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ทำให้สืบทอดอำนาจยาวตามใจตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะเศรษฐกิจี่แท้จริง ที่กังวลกันว่าจะกลับไปซ้ำรอยวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งปี 2540 อีก นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์พากันคิดเช่นนั้น ต่างแต่ว่า วิกฤตการณ์ครั้งนี้ จะเกิดขึ้นก็จริง แต่ไม่รุนแรงเฉียบพลันเหมือนกรณีวิกฤตต้มยำกุ้ง เพราะครั้งนั้นเกิดจากการโจมตีค่าเงินบาท จนรัฐบาลไทยต้องประกาศลดค่าเงิน เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งผิดธรรมชาติ ค่าเงินบาทลดจาก 40 บาท/ดอลลาร์ เป็น 25 บาท/ดอลลาร์ วันนี้ ค่าบาทแข็งขึ้นไปอีกแล้ว จาก 34-36 บาทเป็น 33.30-34.00 บาท/ดอลลาร์ ค่าบาทแข็งขึ้นไปถึง 30 บาท/ดอลลาร์เมื่อใด วิกฤตการณ์เกิดแน่ เป็นวิกฤตการณ์ที่มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป กูรูเศรษฐศาสตร์เปรียบเทียบว่าเป็นการตกต่ำแบบซบเซาตามทฤษฎีกบต้ม ( Boiling Frog Theory) คือปล่อยให้กบนอนแช่ในหม้อต้มน้ำตั้งบนเตาไฟอ่อนๆโดยกบไม่รู้ตัวว่าถูกต้ม จึงตายใจนอนแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์ ต่อเมื่อ น้ำร้อนจัดนั่นแหละถึงตัดสินใจว่าจะ “แจว หรือจอด Jump or Adjust “ เศรษฐกิจไทยยามนี้ มีลักษณะกบนอนแช่น้ำอุ่นสบายๆ แต่ไม่นาน ความร้อนสะสมจะทำให้ร้อนจนทนไม่ได้ จะโดดหนี ขาก็เดี้ยงเสียแล้ว รัฐบาลคสช.พยายามเรียกร้องให้ทุนใหญ่ในประเทศลงทุนเพื่อสร้างงานให้คนไทยในประเทศ แต่บรรดาทุนใหญ่ๆกังวลในกระบวนการบริหารของรัฐบาลมากกว่ากังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ เพราะกฎหมายและมาตรการรัฐแต่ละอย่างล้วนเป็นอุปสรรคแก่การลงทุน ไม้ว่าจะ พ.ร.บ.แรงงานต่างด้าว ข้อห้ามนั่งท้ายรถกระบะ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ฯลฯ นักลงทุนไทยระดับทุนชาติ จึงหันไปลงทุนนอกประเทศ ได้ผลกำไร ก็ไม่นำกลับเข้ามา เหตุจาก ค่าดอลลาร์เมื่อแลกเป็นเงินบาทแล้วลดลง ขาไปดอลลาร์ละ 36 บาท ขากลับแลกกลับได้แค่ 33-40 บาท นี่คือภาวะเศรษฐกิจที่เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลนี้ นอกจากภาวะเศรษฐกิจแล้ว กฎหมายของไทยฉบับใหม่ๆยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในประเทศ แม้ว่ากฎหมายดำเนินคดีลับหลังนักการเมืองที่กำลังออกมาจะไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจก็ตาม แต่มันก็ส่งผลกระทบทางอ้อม โดยเฉพาะด้านจิตวิทยา มองกันว่า มุ่งผลทางการเมือง มากกว่าเอื้ออำนวยต่อการดำเนินการทางเศรษฐกิจ ขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล เกรงว่า ลงทุนไปแล้ว เกิดรัฐบาลออกกฎหมายใหม่ๆมาเป็นตัวอุปสรรคขึ้นมาอีกก็จะกลับตัวไม่ทัน ตัวอย่างความเสียหายที่ชัดเจนที่สุดคือพร.บ.แรงงานต่างด้าว ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ ปิดกิจการกันไปกว่า 2,500 แห่งในชั่วเวลา 2 สัปดาห์ เพราะขาดแรงงานและไม่สามารถจ้างคนไทยได้เนื่องจากค่าแรงแพง ทำต่อไปไม่คุ้ม นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ของการบริหารประเทศที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน