สถาพร ศรีสัจจัง
ปัจจุบันหน่วยงานของรัฐหรือกึ่งรัฐแทบทุกหน่วย ถูกบังคับโดยกฏหมายให้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการอนุรักษ์ ส่งเสริม และสร้างสรรค์วัฒนธรรม ซึ่งก็คือ “ทุนทางสังคม” ในภาษาสมัยใหม่แห่งยุคทุนนิยมบริโภคนั่นเอง ทุกส่วนงานของรัฐดังกล่าวมักมีกฏหมายของตัวเองมาตราใดมาตราหนึ่งหรือข้อใดข้อหนึ่ง กำหนดให้ต้องมี “หน้าที่” อนุรักษ์และส่งเสริม สิ่งที่เป็น “ทุนทางสังคม” ประเภท “วัฒนธรรม” อยู่ด้วยเสมอ
แต่...ผู้นำองค์กรเหล่านั้นมักจะลืม แกล้งลืม หรือ เจตนาลืม หน้าที่ดังกล่าวอยู่เสมอเช่นกัน ถ้าไม่ลืมก็จะถือเสียว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะต้องทำอยู่เสมอ ที่เห็นชัดๆที่สุดก็คือองค์กรที่เรียกตัวเองว่า “รัฐบาล” โดยดูได้จากงบประมาณที่จัดสรรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศิลปวัฒนธรรมของชาติว่าจะต้องน้อยที่สุดแบบเทียบไม่ได้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นกลาโหมหรือมหาดไทย หรือที่เกี่ยวข้องกับการเศรษฐกิจทั้งหลาย เป็นต้น อีกหน่วยหนึ่งที่น่าสังเวชมาก(เพราะขาดสำนึก) คือหน่วยงานที่เรียกตัวเองว่า “ปัญาชน” คือบรรดามหาวิทยาลัยทั้งหลาย
“หน้าที่” ของมหาวิทยาลัยนั้นมีระบุไว้แบบขัดแจ้งแดงแจ๋เลยว่า 1 ใน 4 ของภาระหลักคือการ “ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม” ลองให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยไหนสักแห่งช่วยยืนยันหน่อยถี ว่าตัวเองได้ให้ความรำคัญกับการทำหน้าที่ดังกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง อย่างตระหนักในคุณค่าเยี่ยงต้นแบบของปัญญาชนที่มีอารยะแล้ว!
จะได้ไปก้มกราบงามๆสัก 1 ที!
นอกจากองค์กรรัฐที่เป็นระบบเก่าแล้ว ที่ใหม่ๆ “มาจากประชาชน” (เพราะเลือกตั้งมา) เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด ส่วนตำบล หรือบรรดาเทศบาลทั้งหลาย ก็ล้วนอยู่ใรอีหรอบเดียวกัน แต่ละคนแต่องค์กรแทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าศิลปวัฒนธรรมคืออะไร? สำคัญอย่างไรต่อขีวิตมนุษย์ชีวิตสังคม? ฯลฯ แล้วจะให้พวกเขาสนใจในเรื่องดังกล่าวได้อย่างไร?
ระบบการศึกษาละ ให้ความสำคัญและมีแผนงานปลูกฝังเรื่องนี้กันอย่างไรบ้าง? ก็อาจพูดได้ว่าที่ผ่านๆมาล้วนเหลวทั้งเพไม่ใช่หรือ?
ภายหลังเมื่อสังคมทุนนิยมบริโภคของคนเจนเรอเรชั่น x-z ในปัจจุบัน ถือว่า “การท่องเที่ยว” คือรูปแบบ “การใช้ชีวิต”ที่สำคัญ และ “การบริโภค” คุณค่าของศิลปวัฒธรรมก็เป็นเรื่องจำเป็น เรื่องนี้จึงเริ่มกลายเป็นเรื่องของรสนิยม เป็นกึ่งๆแฟชั่นที่ต้องนำมาจัดใหญ่เพื่อวางแผงจำหน่ายเป็นทำนองสินค้าไปเสียฉิบ!
ท้ายสุด “ศิลปวัฒธรรม” ก็เลยกลายเป็น “สินค้า” ที่มี “มูลค่า” สำหรับแบกดินขายไปจริงๆ
น่วยงานเกี่ยวข้องทั้งหลายที่ต้องดำเนินการในเรื่องนี้ จึงจัดการออกมาในลักษณะการจัดอีเว้นท์ไปแทบทุกราย บางใครบอกว่า การมอบหมายให้บริษัทหริอกลุ่มคนมาจัดอีเว้นท์งาน “ศิลปวัฒนธรรม” ให้นั้นเป็นความสะดวกในการตกลงและจัดการเรื่อง “เงินทอน” !
อ้าว! เป็นงั้นไปช่างเป็นระบบไทยๆดีแท้!
จริงๆแล้วเรื่องของศิลปวัฒนธรรมนั้นถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญยิ่งในเรื่องของความมีอัตลักษณ์ หรือการมี “ซิกเนเจอร์”ตามคำที่ชอบพูดๆกันนั่นแหละ อัตลักษณ์เป็นตัวตอบคำถามอย่างสำคัญในเรื่องความแข็งแรงของสังคมนั้นๆ เพราะวัฒนธรรมก็เหมือนกับ “ราก” ของสังคม สังคมไหนไม่มีรากแก้วก็ย่อม “ล้ม” ได้ง่ายแม้เพียงเพราะมีพายุกระโชกมาเบาๆ
การศิลปวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องใหญ่ของชาติในยามนี้ เป็นเรื่องที่ตวรจะได้หยิบยกมาเป็น “วาระแห่งชาติ” อย่างแท้จริง และอย่างเร่งด่วนที่สุด!!!!