เสือตัวที่ 6
ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 3 จชต.นั้น นอกจากมีการกระทำอย่างเป็นกระบวนการ เพื่อสร้างแรงจูงใจที่ทำให้ผู้ที่ถูกชักชวน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายสำคัญคือกลุ่มเด็กและเยาวชนในพื้นที่ ให้ตัดสินใจเข้าร่วมขวนการแบ่งแยกผู้คนให้เห็นแตกต่างจากคนส่วนอื่นของพื้นที่แห่งนี้แล้ว บรรดาแกนนำในขบวนการแห่งนี้ โดยเฉพาะนักจัดตั้งมวลชน จะมีการกระทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเข้าเป็นแนวร่วมขบวนการเหล่านั้น ยังดำรงคงอยู่กับขบวนการร้ายแห่งนี้ ด้วยความมั่นใจ อย่างที่เรียกว่า มีความภักดีต่อขบวนการอย่างฝังรากลึกและยากที่จะเปลี่ยนใจ ออกจากการเป็นแนวร่วมขบวนการอย่างง่ายๆ เป็นกระบวนการเพื่อให้กลุ่มมวลชนในขบวนการยังคงให้การสนับสนุนการต่อสู้กับรัฐ เป็นกำลังสำคัญในการร่วมกันขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐต่อไปโดยไม่มีวันสิ้นสุด
ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยเชิงลึกของนักวิชาการทางทหารกลุ่มหนึ่ง โดยศึกษาจากสมาชิกของขบวนการแบ่งแยกผู้คนให้เห็นต่าง ทั้งที่เข้ามอบตัวกับรัฐและที่ถูกฝ่ายความมั่นคงจับกุมได้กลุ่มหนึ่ง พบสาเหตุสำคัญของการดำรงคงอยู่ของสมาชิกที่ถูกชักชวนให้ร่วมขบวนการร้ายแห่งนี้ เพื่อขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายสุดท้ายของแกนนำขบวนการก็คือการปกครองกันเองของคนในพื้นที่อย่างอิสระจากการปกครองของรัฐ โดยสาเหตุสำคัญของการดำรงคงอยู่กับขบวนการลับนี้อย่างภักดี มีหลายประการ อาทิ 1) ความเชื่อตามคำสอนทางศาสนาที่พวกเขายึดถือ ซึ่งประกอบไปด้วยประเด็นย่อย ๆ ที่ฝ่ายนักจัดตั้งมวลชนของขบวนการร้ายแห่งนี้ชี้นำ คือ การสร้างความมั่นใจหากเข้าร่วมการต่อสู้กับขบวนการนี้ว่า จะได้ขึ้นสวรรค์ เพื่อให้เกิดความรู้สึกไม่กลัวความตาย การอ้างว่าจะได้มีโอกาสเป็นนักรบปัตตานี โดยการพลีชีพ และการกระทำต่าง ๆ เพื่อพระเจ้านั้น สมาชิกผู้นั้นจะได้บุญ ทั้งยังบิดเบือนว่าการฆ่าคนนอกศาสนา (คนไทยพุทธและเจ้าหน้าที่รัฐบาล) ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องและจะได้บุญ โดยหลอกเหยื่อว่าการกระทำนั้น เป็นวายิบหรือข้อบังคับทางศาสนาให้คนมุสลิมต้องทำ ต้องแก้แค้น แม้ทำไม่ได้ก็ต้องคิดไว้ ถ้าไม่ทำก็จะเป็นบาป หรือแม้กระทั่งบิดเบือนคำสอนทางศาสนาว่า การละหมาด ถ้าไม่เห็นเลือด จะไม่สมบูรณ์ เป็นต้น
2) เชื่อว่าเป็นแนวทางศาสนาที่ถูกต้อง โดยอ้างว่าสอดคล้องตามที่พระศาสดาสอนเอาไว้ว่า มุสลิมต้องรบกับคนนอกศาสนา (คนที่นับถือศาสนาอื่น) หรือกับศัตรูของอิสลาม โดยอ้างว่าคนมุสลิมต้องเป็นใหญ่ และพื้นที่ที่กลุ่มตนอาศัยอยู่นั้น ต้องบริสุทธิ์แบบอิสลาม ทั้งยังหลอกเหยื่อให้เชื่อว่า คนนอกศาสนา (ชาวไทยพุทธในพื้นที่แห่งนี้) จะอยู่ร่วมกับชาวมุสลิมปาตานีไม่ได้ รวมทั้งบางครั้งมีการอ้างประวัติศาสตร์ว่าสมัยพระศาสดาของศาสนาตน ก็เคยมีการรบกับไทยพุทธมาก่อน 3) การกลัวคำสาบาน ตามที่ขบวนการแบ่งแยกผู้คนออกจากกันนี้ นำมาใช้ประกอบพิธีก่อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่ขบวนการว่า คนมุสลิมนั้น เมื่อสาบานตามแนวทางศาสนาแล้ว จะแก้ไขหรือเลิกไม่ได้ ต้องยึดถือตามนั้นตลอดไป เพราะถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ตามที่ให้สัญญากับพระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าพระคัมภีร์เอาไว้ ทำให้สมาชิกที่ตกเป็นเหยื่อ เข้าร่วมขบวนการแห่งนี้ เกิดความกลัวคำสาบาน มากกว่าการถูกจับ เพราะเชื่อว่าจะเป็นบาปติดตัวไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะบาปนี้ จะตามติดไปถึงชีวิตในโลกหน้า ซึ่งจะมีความยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าโลกปัจจุบันหลายร้อยเท่าเสียอีก
4) ความรู้สึกนึกคิดว่า เป็นพวกเดียวกัน ซึ่งเมื่อกลุ่มเป้าหมายตัดสินใจเข้าสู่ขบวนการแล้ว สมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดนเหล่านั้น จะมีความรู้สึกผูกพันยึดมั่น และมีความมั่นใจต่อคนกลุ่มหรือพวกเดียวกันที่อยู่ในกลุ่มขบวนการ สูงกว่าคนนอกขบวนการ การได้ร่วมหมู่ ร่วมพวก จะก่อให้เกิดความรู้สึกแบ่งเขา แบ่งเรา โดยเราคือพวกเดียวกัน ศาสนาเดียวกัน เชื่อในแนวทางคำสอนเดียวกัน มีเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์อย่างเดียวกัน มีวิถีชีวิตในแบบเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มคนที่แตกต่างจากเรื่องเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง และความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันนี้ จะมีการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้นในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานเพื่อต่อสู้กับรัฐในระดับหัวหน้าหมู่บ้าน (ที่จัดตั้งซ้อนการปกครองของรัฐ) ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสังคมมีพวกเดียวกันมาร่วมงานจำนวนมาก มีการบอกต่อๆ กันไปว่ามีสมาชิกพวกเดียวกันอยู่ในทุกชุมชน มีการจับมือเป็นรหัสลับที่รับรู้กันเฉพาะภายในกลุ่ม
5) การรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ซึ่งประกอบด้วย ความสนุกตื่นเต้นจากการทำงานที่ได้รับมอบหมายจากขบวนการ อันเป็นงานที่ตนเองรู้สึกว่า เป็นงานที่ท้าทาย ที่นำมาซึ่งความภูมิใจเมื่อทำสำเร็จ ด้วยจะมีความรู้สึกว่าเท่ห์ ได้ทำงานเพื่อศาสนา แม้จะมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่รัฐ หากแต่ความรู้สึกดังกล่าว กลับเป็นแรงกระตุ้นให้ต้องการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายจากขบวนการนี้ให้สำเร็จ แม้จะเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์ หรือจะเกิดผลกระทบต่อพี่น้องมุสลิมในพื้นที่เอง แต่ก็ถูกทำให้เชื่อว่า เป็นภาวะจำยอม และทุกคนในพื้นที่ต้องเสียสละ เพื่อเป้าหมายสำคัญคือ ชัยนะของศาสนาในพื้นที่ ทั้งยังเกิดความมุ่งมั่นในการร่วมต่อสู้กับรัฐ อย่างภักดีต่อองค์กรลับโดยไม่คิดที่จะเข้ามอบตัวหรือกลับใจออกจากขบวนการร้ายแห่งนี้ ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวนี้ มักเกิดขึ้นกับสมาชิกในระดับปฏิบัติการ ที่อายุยังน้อยหรืออยู่ในกลุ่มเยาวชนในพื้นที่
6) ความรู้สึกมีอำนาจและมีเกียรติ ด้วยความรู้สึกว่า ได้รับการยอมรับในหมู่เพื่อนๆ ทำให้สมาชิกในขบวนการแห่งนี้ รู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ เวลาไปที่ไหน มีคนคอยช่วยเหลือดูแล หรือให้การต้อนรับและได้เข้าสังคมในระดับที่คนในชุมชนยอมรับ รู้สึกไปเองว่าคนในชุมชนให้ความเกรงใจสามารถสั่งหรือเรียกระดมชาวบ้านได้มากกว่าเจ้าหน้าที่ ความรู้สึกดังกล่าวมักเกิดกับสมาชิกในระดับหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้ากลุ่มเยาวชนหรือครูฝึก ซึ่งคนในกลุ่มนี้ จะรู้สึกว่าชาวบ้านนับถือ เกรงใจ ให้เกียรติ จนในบางครั้ง จึงทำหน้าที่เหมือนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐคอยดูแลความเรียบร้อยในชุมชน เป็นต้น
แม้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างใด หากแต่ความรู้สึกภักดีของกลุ่มคนที่เป็นแนวร่วมที่มีต่อขบวนการร้ายแห่งนี้ ยังคงฝังรากลึกและยากที่จะเปลี่ยนใจออกจากการเป็นแนวร่วมอย่างง่ายๆ ทั้งนี้ เพื่อให้กลุ่มมวลชนยังดำรงคงอยู่กับขบวนการ คอยให้การสนับสนุนการต่อสู้กับรัฐ เป็นกำลังสำคัญในการร่วมกันขับเคลื่อนการต่อสู้กับรัฐในรูปแบบที่ผันแปรไปตามสถานการณ์ต่อไป จนกว่าจะบรรลุผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการ