สมบัติ ภู่กาญจน์ มองเมื่อปี 2514 โดยคนไทยชื่อคึกฤทธิ์ ปีพุทธศักราช 2514 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดให้มีการประชุมทางวิชาการเรื่อง “ปัจจุบันและอนาคตของสังคมไทย” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมด้วยในฐานะผู้แสดงปาฐกถานำ และร่วมอภิปรายด้วยใน ‘กลุ่มพิจารณาปัญหาการเมือง’ ซึ่งในช่วงเวลานั้น อาจารย์คึกฤทธิ์ ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ในสถานภาพของนักเขียน-นักหนังสือพิมพ์-และนักพูด โดยไม่มีคำว่านักการเมืองเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยเลยแม้แต่น้อย เพราะชะตาชีวิตที่หักเหให้ต้องเข้าไปสู่การเมืองครั้งที่สองของอาจารย์คึกฤทธิ์ เกิดขึ้นหลังปี พ.ศ.2516 จากเหตุการณ์ 14ตุลาฯ หัวข้อที่อาจารย์คึกฤทธิ์จะต้องกล่าวปาฐกถานำนั้น มีชื่อว่า “การเมืองไทยในปัจจุบันและอนาคต” ซึ่ง ณ ขณะที่พูด ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นผู้นำรัฐบาลอยู่นานมาเกือบจะถึงปีที่ 10 สองปีก่อนหน้านี้ มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง แต่แล้วปัญหาทางการเมืองก็เกิดขึ้น จนผู้นำรัฐบาลต้องปฏิวัติตัวเองเพื่อแก้ไขความยุ่งยากนั้น ประชาธิปไตยที่หลายคนต้องการจึงยังไม่บังเกิดผล ช่วงว่างนี้ นักวิชาการจึงอยากฟังความเห็นของผู้รู้ร่วมสมัยในสังคมไทย เหตุการณ์ทำนองนี้ ฟังคุ้นๆหู อยู่ไหมครับ? แต่ขอประทานโทษ! เหตุนั้นกับวันนี้ เวลาแตกต่างกัน 46 ปี! ทุกวันนี้ การเมืองไทย จะยังเหมือน-หรือต่างไปแล้ว จากการมองอนาคตของคนในอดีต หรือไม่อย่างไรแค่ไหน? เรามาลองฟังความเห็นจาก คนไทยผู้มีความรู้และประสบการณ์ในยุคนั้น กันดูไหมครับ ปาฐกถานำ ก่อนการเปิดอภิปรายกลุ่ม โดยคึกฤทธิ์ ปราโมช มีเนื้อหาดังต่อไปนี้ ผมเข้าใจว่าการอภิปรายของผมในวันนี้ ก็เพื่อที่จะเป็นการเริ่มการสนทนาเกี่ยวกับปัญหาการเมืองของไทยในปัจจุบันซึ่งจะมีขึ้นต่อไป ซึ่งผมเห็นว่า ก่อนที่จะได้อภิปรายกันถึงปัญหาใดๆในทางการเมือง เราควรจะได้พูดถึงสภาพที่แท้จริงของการเมืองนั้นกันเสียก่อน การพูดในครั้งนี้ ผมจึงอยากจำกัดความไว้เฉพาะเรื่องสภาพที่แท้จริงแห่งการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน สภาพการเมืองของไทยในปัจจุบันนั้น ถ้าจะพูดไปแล้วก็ไม่ใช่สภาพที่เกิดขึ้นใหม่ แต่เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว อาจจะย้อนกลับขึ้นไปได้ถึงหลายร้อยปีในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย สภาพนั้นก็คือ การที่อำนาจทางการเมืองตกอยู่แก่คนกลุ่มเดียว และคนกลุ่มนั้นก็คือทหาร นับตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 24มิถุนายน 2475 มาแล้ว ได้มีการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งหลายหนในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของไทย จนถึงวันนี้เราสามารถพูดได้ว่า การปฏิวัติรัฐประหารนั้นยังเป็นทางเดียวในเมืองไทยที่จะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ แต่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทุกครั้งที่มีมานั้น ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงเฉพาะตัวบุคคลที่จะเข้ามาเป็นคณะรัฐบาล คือมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการต่อไปเท่านั้น ส่วนอำนาจทางการเมืองอื่นๆ ยังไม่เคยปรากฏว่า เปลี่ยนไปจากกลุ่มคนที่ถืออำนาจนั้นไปสู่คนกลุ่มอื่นเลย พูดง่ายๆก็คืออำนาจทางการเมืองยังอยู่ที่คนกลุ่มเดิมคือทหาร ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดทั้งสิ้น จะเปลี่ยนก็เฉพาะมีจอมพลหน้าใหม่มาเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ส่วนอำนาจก็ยังคงอยู่ในมือของคนกลุ่มเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มาในปัจจุบันนี้ แม้เราจะมีรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศ แต่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปัจจุบันก็ดูจะบอกแน่ชัดว่าจะคุ้มครองอำนาจของกลุ่มทหารนั้นไว้อย่างแน่นอนและดูเหมือนจะให้อยู่ต่อไปเท่าที่จะนานได้ ดังเช่นบทบัญญัติเรื่องไม่เปิดโอกาสให้ผู้แทนราษฎรดำรงตำแหนงรัฐมนตรี นั่นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือ ให้วุฒิสภา ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้งจากกลุ่มทหาร หรือผู้ที่ทหารไว้ใจได้เกือบทั้งหมด เข้าร่วมออกเสียงลงคะแนนในการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล.. เมื่อสภาพการเป็นอย่างนี้ ปัญหาทางการเมืองต่างๆจึงน่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุนี้ แต่ก่อนที่จะได้พูดถึงปัญหาอื่นต่อไปอีก เราควรจะได้พิจารณากันเสียก่อนว่าเพราะเหตุใดสภาพการเมืองไทยจึงเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าเราจะดูจากประวัติศาสตร์ทั้งไกลและใกล้ จะเห็นได้ว่าประวัติศาสตร์ทางการเมืองของไทยนั้น มีแต่กลุ่มทหารเท่านั้น ที่สามารถจะตั้งตนเป็น ‘กลุ่มที่มีอำนาจอิทธิพลที่จะผลักดันให้การเป็นไปตามประสงค์’ อย่างที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าPressure Groupได้ ซึ่งตามทฤษฎี สังคมทุกสังคมย่อมจะมีกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆรวมกันอยู่ เช่นเมื่อมีกลุ่มทหาร ก็จะต้องมีกลุ่มพลเรือน กลุ่มกสิกร กลุ่มพ่อค้า กลุ่มคนงาน หรือกลุ่มอื่นๆ กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ย่อมจะมุ่งหวังถึงประโยชน์ของกลุ่มซึ่งแตกต่างกัน และในระบบการเมือง ก็เป็นเรื่องที่กลุ่มผลประโยชน์ซึ่งแตกต่างกันเหล่านี้จะต้องคอยระแวดระวังที่จะไม่ให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบยิ่งกว่ากันและกัน หรือไม่ก็จะต้องมีการช่วงชิงผลประโยชน์เพื่อกลุ่มของตนอยู่เสมอ แต่ในเมืองไทยนั้น เรากลับไม่พบว่าจะมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เพราะเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ กลับไม่ปรากฏกลุ่มใดๆที่จะตั้งตัวเป็นPressure Groupมาให้เห็นเลย เพราะฉะนั้นการที่กลุ่มทหารเกิดรู้สึกและตั้งตัวเป็นPressure Groupขึ้น ถ้าจะพูดอย่างเป็นธรรม ก็ต้องเรียกว่าเป็นความดีหรือความฉลาดของกลุ่มทหารเองก็ได้ เพราะกลุ่มอื่นๆนั้น ถ้าจะพูดตามภาษาชาวบ้านก็คงต้องพูดว่าไม่เอาไหนจริงๆ เพราะไม่เคยมี ดังจะเห็นได้จากข้าราชการพลเรือน ซึ่งมีทั้งคนดี คนสุจริต มีปัญญาชนร่วมอยู่เป็นส่วนใหญ่นั้น กลับไม่มีความคิดที่จะตั้งตนเป็นPressure Groupเลย ไม่เคยมีความคิดที่จะผลักดันการใดๆให้เป็นไปตามความประสงค์ของตน ข้าราชการส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ถ้าต้องการทำประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมือง หรือใช้ความรู้สติปัญญาของตนให้ปรากฏ ก็จะต้องวิ่งเข้าหากลุ่มทหาร เพื่อต้องการใช้Pressure นั้นให้เกิดประโยชน์แก่บ้านเมือง หรือตามที่ตนประสงค์ นี่เป็นความคิดหรือเป็นทางปฎิบัติของข้าราชการที่ดี ที่หวังดีต่อบ้านเมืองและมีเจตนาสุจริต ที่จะทำให้การเป็นไปตามความประสงค์ของตนได้ ส่วนข้าราชการอื่นๆที่คิดแต่ประโยชน์ของตนก็คงมีบ้าง ซึ่งอาจจะมีการวิ่งเข้าหากลุ่มทหารเพื่อให้กลุ่มทหารนั้นรักษาตำแหน่งฐานะในทางราชการของตนนั้นไว้ก็ได้ นั่นก็เป็นอีกทางหนึ่ง ซึ่งเห็นอยู่ในปัจจุบัน” ความเห็นนี้เพิ่งเริ่มต้นครับ และยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสาระ ที่ผู้แสดงปาฐกถาต้องการนำเสนอออกมา แต่อย่าเพิ่งหงุดหงิดครับ ชื่อคึกฤทธิ์ ปราโมช ไม่เคยใช้อคติในการให้การเรียนรู้ต่อผู้คนในสังคม ที่อาจารย์ระลึกเสมอว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศยังต้องการความรักความเมตตาและความรู้เป็นอย่างยิ่ง ถ้าใครรักที่จะทำประโยชน์ใดให้กับสังคมไทย พยายามติดตามความเห็นต่อไปให้จบ แล้วจะพบบทสรุปของคึกฤทธิ์ และหมายเหตุปิดท้าย ความเห็นนี้เสนอไว้ในสังคมไทยเมื่อปี 2514 สองปีก่อนที่เหตุการณ์ 14ตุลาฯจะเกิดขึ้น ข้อมูลเหล่านี้ เพื่อประกอบเป็นวิจารณญาณในการอ่านต่อในสัปดาห์หน้าครับ