โฟกัสการเมืองไทยจับจ้องไปที่วันที่ 2 ธันวาคม 2563 วันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะสิ้นสภาพรัฐมนตรี กรณีพักอาศัยอยู่ในบ้านพักทหารหลังเกษียณอายุราชการแล้ว ถือเป็นการจงใจไม่ทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 (3) คือการขัดกันของผลประโยชน์ ถือเป็นการรับประโยชน์จากหน่วยงานของรัฐหรือไม่ ด้วยกำหนดวันดังกล่าวเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่สถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ มีการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง และหนึ่งในข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมก็คือ ให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ยืนกรานว่าไม่ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากหากย้อนไปเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2557 ในห้วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งกรณีย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระนั้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน มีความพยายามหาทางออกด้วยการตั้งคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์ โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาเป็นโปรโมเตอร์ใหญ่ ที่กำลังอยู่ระหว่างการจัดตั้ง และแม้กลุ่มผู้ชุมนุมจะชิงปฏิเสธไม่เข้าร่วมคณะกรรมการดังกล่าว แต่นายชวนก็ยังคงเดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวตอนหนึ่งภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 63 ว่า “สิ่งสำคัญคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทำอะไรอะไรก็ตามถ้าไม่พัฒนาทรัพยากรมนุษย์มันไปไม่ได้ การศึกษาต้องมีการพัฒนา หลายคนบอกว่าไม่มีการปฏิรูปแต่เขาทำสร้างแผนเยอะแยะไปหมด การศึกษาเราไม่ได้เลวร้าย เพียงแต่ว่าขีดความสามารถประสิทธิภาพไม่เท่าเทียมกัน ถ้าเลวร้ายจริง คนของเราคงไม่เก่ง คงไม่ไปเรียนต่างประเทศได้รางวัลมา ผ่านการสอบ ดังนั้น ต้องปรับตัว มีการพัฒนาครูเขาก็ทำ มีการประเมิน แต่ก็ไม่ชอบ ซึ่งก็ยุ่งไปหมด ปล่อยกันมานาน เรื่องเหล่านี้ สอนแต่วิชาการอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสอนคนในเรื่องความรักชาติ ประวัติศาสตร์ชาติ ความซื่อสัตย์ เสียสละ ซึ่งวิชานี้มีอยู่แล้วไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำให้คนไม่มีหลักคิดตรงนี้ ดังนั้นเราต้องมีหลักคิดมีวิสัยทัศน์ และคิดเป็นกระบวนการ ทำให้คนมีส่วนร่วมด้วยความเข้าใจ ตนไม่เคยคิดว่าต้องมายืนตรงนี้ นี่อยู่มา 6 ปี แล้ว แต่ยังยืนอยู่ได้ยังไงเนี่ย หวังทุกคนคงเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจกัน คงไปยาก ผมก็หวังอย่างยิ่งว่าถ้าวันหน้ามีคนที่เก่งกว่าผม ดีกว่า ซื่อสัตย์กว่าตน ซื่อสัตย์เหมือนตน ทำงานเหล่านี้ต่อไป ซึ่งการมีอำนาจ การที่ต้องมารับผิดชอบไม่ใช่เรื่องสนุก และตนใช้อำนาจมาเยอะ เป็น ผบ.ทบ. มา 4 ปี ตนเบื่อการใช้อำนาจ การใช้อำนาจใช้เฉพาะคือดูแลคนที่เขาทำความดี และลงโทษคนที่ทำความไม่ดีก็เท่านั้น แค่สองอย่างนี้ยังยากเลย หลายคนบอกตนใช้อำนาจไม่ถูกต้อง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผิดกฎหมายตรงไห น ตนทำตามกฎหมายทุกประการ ดังนั้นขอให้ช่วยทำความเข้าใจด้วย หลายคนอาจจะไม่ชอบตน ยิ่งไม่ชอบก็ยิ่งต้องทำ เพราะถ้ายังคงไม่ชอบแสดงว่ายังไม่เข้าใจ เขายังลำบากหรือเดือดร้อนอยู่ ท่านไม่รักตน แต่ตนรักท่าน ทุกคนคือคนไทยนี่นา หน้าตาก็คนไทย ตนไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร ฝากทุกคนช่วยกันสร้างความรัก ความสามัคคีของคนในชาติให้ได้ รักษาแกนหลักของประเทศชาติให้ได้ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” อย่างไรก็ตาม ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นทางแยกสำคัญของการเมืองไทย หากผลออกมาเป็นลบกับพล.อ.ประยุทธ์ ก็จะเป็นทางลง และทางออกของสถานการณ์ได้ ขณะที่หากผลออกมาเป็นบวก พล.อ.ประยุทธ์ รอดคมดาบของศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แม้จะมีข่าวออกมาในทำนองว่าศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้อง แต่ไม่ว่าจะออกมาอย่างไร โฟกัสสำคัญอยู่ที่วิกฤติการเมืองไทยจะสงบหรือวุ่นวายกว่าเดิม