การประชุมครม. เมื่อวันที่ 10 พ.ย.63ที่ผ่านมา "บิ๊กตู่"พลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ "สนามไชย1" พร้อมด้วยรัฐมนตรี ได้รับทราบรายงานผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล 2563 (ครบ 1 ปี) ซึ่งเป็นการสำรวจและสอบถามประชาชนเกี่ยวกับนโยบายหลักของรัฐบาล โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ
และจากผลการสำรวจในเรื่องความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล พบว่า ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศในระดับมาก-มากที่สุด ร้อยละ 29.8 เชื่อมั่นปานกลาง ร้อยละ 48.7 และเชื่อมั่นน้อย-น้อยที่สุด ร้อยละ 18.4 ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 3.1
ส่วนความพึงพอใจในภาพรวมต่อการดำเนินงานของรัฐบาลพบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก-มากที่สุดร้อยละ 33.4 ในระดับปานกลาง ร้อยละ 48
สำหรับนโยบายที่ประชาชนพึงพอใจมาก-มากที่สุด 5 อันดับแรกคือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การแก้ไขปัญหาโควิด-19 ตามมาด้วยโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึงอายุ 6 ปี นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉิน วิกฤตมีสิทธิทุกที่ (UCEP) และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง
ต้องยอมรับว่าในห้วงเวลา 1ปีของ รัฐบาล "ประยุทธ์2/1" ที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.ค.62 นั้นเต็มไปด้วยสารพัดปัญหา ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งโจมตีหลายร้อยประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
แต่ต้องยอมรับว่าผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้รับการยอมรับ ทั้งในประเทศไปจนถึงเวทีสากลคือการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ได้อย่างน่าพอใจ นอกจากนี้การออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ยังได้รับการขานรับ อย่างต่อเนื่อง
จะเว้นก็แต่ปัญหาทางการเมือง ที่เริ่มทวีความเข้มข้น รุนแรงมากยิ่งขึ้น จนทำให้หลายต่อหลายคนอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาล และที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถนำครม.ฝ่าด่านวิกฤติการเมืองครั้งนี้ออกไปได้หรือไม่ อย่างไร?
จากความเคลื่อนไหวชุมนุมของม็อบในนามกลุ่มราษฎรที่จัดกิจกรรม "สาส์นจากราษฎร" ที่เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้กลายเป็นภาพเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน ไม่อาจยอมรับความก้าวร้าว หยาบคายที่พากันแสดงออกต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงใจได้
บรรยากาศในบ้านเราวันนี้จึงไม่ต้องแปลกใจว่า นอกจากผู้ชุมนุมที่ประกาศดึงพล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นคู่ขัดแย้งแล้ว ยังกลายเป็นว่า ประชาชนคนไทยด้วยกันเอง ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ขัดแย้งกันอย่างหนัก เมื่อผู้ชุมนุม และพรรคการเมือง นักการเมืองที่เข้าไปเกี่ยวข้อง หนุนให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ จนทำให้คนไทยทั่วทั้งประเทศไม่มีใครพอใจ และยอมรับได้
ความแตกแยกของผู้คนในสังคม อันมีปมประเด็นที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันด้วยท่าทีหยาบคาย ก้าวล่วง ดูหมิ่น ได้กลายเป็น "เงื่อนไข" ที่ทำให้แต่ละฝ่าย จะไม่มีใครยอมหันหน้ามาพูดคุยกันได้อีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ความพยายามที่จะผลักดันเดินหน้าสนองตอบต่อข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมจากฝ่ายรัฐบาลที่ใช้ "รัฐสภา" เป็นทั้งเครื่องมือและทางออกจากไปจากความขัดแย้ง ทั้งการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ เดินหน้าควบคู่ไปกับกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงไม่ต่างจากการเข็นครกขึ้นภูเขา ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก กันถ้วนหน้า !