"หากเจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยไป พวกที่ต้องการสร้างความรุนแรงก็เข้าไปได้ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ได้สกรีนคน ซึ่งเราก็เห็นแล้วในคลิปว่าเขาเตรียมสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายกับประทัด ที่มีไฟจุด ขว้างข้ามรถบัส ผมถามว่าหากปล่อยไป จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา หากปาเข้าไปในศาลหลักเมือง วัดพระแก้ว เกิดความเสียหายใครจะออกมายืนรับผิดชอบ แล้วความรู้สึกของคนทั้งประเทศจะเป็นอย่างไร" บางส่วน บางตอนของคำให้สัมภาษณ์ของ "บิ๊กบี้" พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ตอบข้อถามของผู้สื่อข่าวกรณีที่ผู้ชุมนุมในนามกลุ่มราษฎร ที่พยายามจะฝ่าแนวกั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปยังสำนักพระราชวัง เพื่อยื่นจดหมาย จนเกิดการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่ ดูจะมีความชัดเจนว่า บิ๊กบี้ มองความเคลื่อนไหวและสิ่งที่เกิดขึ้นจากการชุมนุม เมื่อวันที่ 8 พ.ย.63 ที่ผ่านมาเช่นใด การจัดกิจกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมในนามกลุ่มราษฎร รวมทั้งแนวร่วมหลักอย่าง "คนเสื้อแดง" ที่เข้ามามีบทบาทมากกว่าการสนับสนุน เหมือนเช่นในห้วงแรก ก่อนหน้าที่ "แกนนำนักศึกษา" หลายคนจะมีคดีความติดตัวจนทำให้ระหว่างนี้ ต่างพากัน "เก็บตัว" ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม แต่ถึงกระนั้น การชุมนุมยังถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญ ในการที่จะผลักดันให้ "3ข้อเรียกร้อง" ของกลุ่มราษฎร บรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะข้อที่ 3 คือการเสนอให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทว่าการจัดกิจกรรมในชื่อ "สาส์นจากราษฎร" ของผู้ชุมนุมเมื่อคืนวันที่ 8พ.ย.ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการกระทำที่ไม่บังควร จงใจดูหมิ่นสถาบัน นอกจากนี้ในระหว่างการเจรจาของเจ้าหน้าที่กับตัวแทนผู้ชุมนุมที่พยายามจะฝ่าแนวกั้นตำรวจเพื่อเข้าใกล้บริเวณสำนักพระราชวัง ให้ได้มากที่สุด แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต ก็มีมือดีฉวยจังหวะกระทำการอันมิบังควรที่พระบรมฉายาลักษณ์ ของในหลวง รัชกาลที่ 10 ก่อนที่บรรดาการ์ดของผู้ชุมนุม จะพากันเข้ามาห้ามเอาไว้ทัน แน่นอนว่าการชุมนุมที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับใช้รูปแบบ วิธีการ ตลอดจนใช้คำพูดก้าวร้าว หยาบคาย ต่อสถาบันย่อมไม่มีใครยอมรับได้ สถานการณ์การเมืองในวันนี้ จึงดูเหมือนว่า การชุมนุมที่นำหน้าโดยกลุ่มราษฎร ที่พยายามจะยืนระยะ กำลังเพิ่มความรุนแรง เข้มข้นทั้ง "เนื้อหา"และ "รูปแบบ" ที่แข็งกร้าว และพุ่งเข้าใส่ สถาบันอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่รู้ว่ายังมีคนไทยจำนวนมากที่ไม่มีทางขานรับกับแนวทางของฝ่ายผู้ชุมนุมได้อย่างแน่นอน ขณะที่กลุ่มประชาชนฝ่ายตรงข้ามม็อบราษฎรเอง ได้เคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องให้มีการใช้อำนาจทำการปฏิวัติรัฐประหาร โดยกลุ่มเครือข่ายประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (คปส.)เดินสายยื่นจดหมายถึงนายกฯ และพล.อ.ณรงพันธ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าวันนี้ยังมีประชาชนที่ยืนอยู่เคียงข้างสถาบัน ต้องการให้รัฐบาลและกองทัพใช้กฎหมายพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง การปรับยุทธวิธีของฝ่ายผู้ชุมนุม ที่พุ่งเป้าไปยังสถาบัน ด้วยความก้าวร้าว หยาบคาย คล้ายกับว่าต้องการปลุกให้ผู้คนในสังคมที่รักและเทิดทูนสถาบันเกิดความไม่พอใจ อีกทั้งยังรู้ว่ารัฐบาลและกองทัพมีจุดยืนในการปกป้องสถาบัน อย่างชัดแจ้ง จึงไม่ต่างไปจากการจงใจยั่วยุ ปลุกเร้าให้สังคมเข้าไปสู่โหมดของความรุนแรง เกิดความเกลียดชังต่อกัน ขณะที่ฝ่ายเทิดทูนสถาบันก็คาดหวังที่ได้เห็นรัฐบาล และกองทัพใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด แข็งกร้าวเพื่อหยุดยั้งการจาบจ้วงสถาบัน ไปจนถึงการชุมนุมที่กำลังปลุกความแตกแยกให้เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่า จนถึงนาทีนี้ ทั้ง "บิ๊กตู่"หัวหน้ารัฐบาล และ "บิ๊กบี้" ผบ.ทบ. ในฐานะผู้คุมกำลังหลักของกองทัพ จะอยู่ในความนิ่ง ไม่ส่งสัญญาณ ใดๆ ออกมา จนทำให้กองเชียร์ต่างหมดลุ้นไปตามๆกัน !