แสงไทย เค้าภูไทย
ร่างพ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นกฎหมายอีกฉบับที่คนไทยไม่ยอมรับ เพราะริดรอนสิทธิคนรากหญ้าในการเข้าถึงยาสมุนไพรในราคาถูก เนื่องจากใช้มาตรฐานยาแผนปัจจุบัน โอท็อป วิสาหกิจครัวเรือน เอสเอ็มอี เกษตรสมุนไพรถูกปิดกั้นเพราะเอื้อบริษัทยาทุนหนาตลาดยาจากสมุนไพร เครื่องสำอาง มูลค่ามหาศาลจะตกอยู่ในกำมือบริษัทข้ามชาติ
มาตรฐาน GMP-PIC/S ที่ร่าง พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ....กำหนดเป็นคุณภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยนี้ เป็นมาตรฐานของสหภาพยุโรป ใช้กับผลิตภัณฑ์สุขภาพและยาในเภสัชกรรมแผนปัจจุบัน
ขณะที่ GMP-WHO ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ใช้กันมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 (พ.ศ.2535) จนถึงปัจจุบันนี้เราตั้งเป้าหมายขยายตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดย 26 ตุลาคม 2559 ได้คลอดแผนแม่บทพัฒนาสมุนไพรแห่งชาติ ขับเคลื่อน 4 ยุทธศาสตร์ ดันไทยมีมูลค่าของผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพิ่มขึ้นเป็น 3.2 แสนล้านบาทภายใน 5 ปีเริ่มที่ตลาดอาเซียน โดยขยับมาตรฐานผลิตภัณฑ์จาก GMP-WHO สู่ GMP-ASEAN ซึ่งก็คือ GMP-PIC/S นั่นเอง
ทั้งๆที่ชาติอาเซียนอื่นๆยังคงใช้มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกอยู่จึงไม่เข้าใจว่า มาตรฐาน GMP-PIC/S นั้น ตั้งเพื่อบริษัทยาแผนปัจจุบันหรือตั้งเพื่อผู้ผลิตสมุนไพรไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ?ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยนั้น ผู้ผลิตต้นน้ำคือเกษตรกร ภาคเกษตรกรรม งานเกี่ยวข้องกับพืชสมุนไพร งานวิสาหกิจชุมชน งานแปรรูปผลผลิตการเกษตร งานส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรอินทรีย์ ล้วนระดมกันสนับสนุน
แหล่งผลิตพืชสมุนไพรมีอยู่ทั่วประเทศ มีพื้นที่เพาะปลูกเพื่อการค้าข้อมูลปี 2557 จำนวน 34,936 ไร่ ผลผลิต 298,304 ตัน ลดลง 18% จากปี 2556 ปลูก 42,553 ล้านไร่ เหตุจากเกษตรกรมีทางเลือกในการผลิตพืชอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ที่สำคัญขาดความชัดเจนเรื่องตลาดสมุนไพร จนไม่กล้าปลูกเป็นพืชหลัก คงเป็นลักษณะพืชผสมผสานในครัวเรือนมากกกว่าเป็นการค้า
ปลูกแค่เป็นรายได้เสริมเล็กๆน้อยๆ
ทั้งๆที่ตลาดมีความต้องการใช้สมุนไพรมากกว่า 300 รายการ แต่ไปติดที่มาตรฐาน GMP ทำให้มีแปลงที่ได้รับการรับรองมาตรฐานมีเพียง 1,185 รายเท่านั้นแต่แม้กระนั้น ก็ยังมีการส่งออกสมุนไพรในรูปวัตถุดิบมูลค่า 245.47 ล้านบาท
แต่กลับมีการนำเข้าถึง 1,099.61 ล้านบาทากจีน อินเดียและอินโดนีเซีย เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยาแผนโบราณสำหรับการใช้ในโรงพยาบาลรัฐ เฉพาะ 24 รายการจากยาแผนไทยในบัญชียาหลักแห่งชาติ 71 รายการในโรงพยาบาลรัฐ 70 แห่งนั้น เมื่อปี 2557 มีมูลค่า 14,000 ล้านบาท
ใช้ในด้านอื่นๆ ที่มีมูลค่าสูงสุดคือด้านอาหารเสริมสุขภาพ ปีละ 80,000 ล้านบาท ด้านเครื่องสำอาง เครื่องดื่มนวดไทยและสปา 30,000 ล้านบาท อัตราเติบโตปีละ 30% (กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก)
รวมกันตอนนี้มูลค่าตลาดน่าจะอยู่ที่ 185,900 ล้านบาทส่วนการส่งออกนั้น แหล่งส่งออกใหญ่ที่สุดอยู่แถวถนนจักรวรรดิ ตรงข้ามประตูวัดและร้านเกรมเป๋อ
การตั้งมาตรฐาน GMP-PIC/S นั้น ออกจะสูงเกินความจำเป็น ตอนนี้ บริษัทยาแผนโบราณในไทยที่ได้มาตรฐาน GMP-PIC/S มีอยู่เพียง 20 บริษัทเท่านั้น ขณะที่อีก 100 กว่าบริษัทได้มาตรฐาน GMP-WHO แต่ยังไม่ได้ GMP-PICS
ตลาดยาสมุนไพรมาตรฐานยาแผนปัจจุบันนี้ ถ้าพ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมาจะตกเป็นของใคร ?คงไม่ต้องพูดถึง พวกโอท็อป ผู้ผลิตรายย่อย (SMEs) ที่เป็นผู้ผลิตกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศรวมถึงวิสาหกิจชุมชนรูปแบบอื่นๆและอุตสาหกรรมครัวเรือนนับล้านๆครัวเรือนคอร์เนอร์ขายยาและเครื่องสำอางสมุนไพรหายหมื่นแห่งทั่วประเทศ
รายได้นับหมื่นๆล้านนี้จะหายไปจากชุมชนรากหญ้าหาก พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้เพราะแม้แต่ยาหม่อง ลูกประคบ ขมิ้นชันผง ว่านชักมดลูก ยาชุดสำหรับต้ม ยาชุดสำหรับดองสุรา ฯลฯ จะกลายเป็นยาเถื่อน ยาปลอมไปหมด ด้วยข้อกฎหมายว่าไม่ได้มาตรฐาน GMP-PIC/S ไม่สามารถขึ้นทะเบียนยาไม่ได้
ก่อนหน้านี้หลายปี ราวปี 2556 เคยมีการแสวนาโยนหินถามทางเกี่ยวกับมาตรฐานยาสมุนไพรไทยเป้าหมายขยายตลาดอาเซียน โดยมาตรฐาน GMP-ASEAN
ครั้งนั้น ภาครัฐพยายามโน้มน้าวถึงผลดีของการใช้ GMP-PIC/S
บรรดาผู้ประกอบการผลิตยาแผนโบราณไม่เห็นด้วยที่ อย.จะใช้กฎเกณฑ์นี้ “ถ้าประกาศใช้เมื่อไร พวกเราจะปิดไป 800 โรงงานแน่นอน คือกฎเกณฑ์ต่างๆ เราไปคุยกับทางอาเซียนมา เขาก็ไม่ทำตาม อย่างเวลาประชุม เราเอากฎของ GMP-ASEAN มาคุยตั้ง 5-6 ปี แต่สุดท้ายเราต้องไปเปลี่ยนเป็น PIC/S ซึ่งเป็นระบบที่สูงมาก และเป็นระบบที่ยาแผนปัจจุบันเขาใช้กัน...”
“ ทางเราก็มีการคัดค้าน มีการทำประชาพิจารณ์ 4 ภาค เราก็ไม่เห็นด้วย ผมว่าเรื่องส่งออกคงไม่พูดมาก เอาแค่อยู่รอดในประเทศ ถามว่าจะอยู่ได้หรือเปล่า?”
นายไพศาล เวชพงศา เจ้าของกิจการยาแก้ไอน้ำดำตราเสือดาว หนึ่งในผู้ประกอบการไทยไม่กี่ราย ที่สามารถส่งออกยาไทยไปแข่งขันในระดับนานาชาติกล่าว ( แนวหน้า ฉบับ 28 ก.พ. 2556)
“ลงทุนอีก 5 ล้านเพื่อจะขายปีละล้านห้าล้านหก ไหวหรือ”ยังดีกว่าบรรดาพ่อหมอ แม่หมอ ที่ต่อไปจดทะเบียนยาแต่ละตำรับ จะต้องใช้เงินขนาดขายควาย 10 ตัวมาดำเนินการค่าใบอนุญาตผลิต 100,0000 บาท.ใบอนุญาตขาย 10,000 บาท.ใบอนุญาตโฆษณา 10,000.บาท.ใบสำคัญขึ้นทะเบียนตำรับ 50,000. บาท.ใบแจ้งรายละเอียดผลิตภัณฑ์ 10,000.ใบรับแจ้งผลิตภัณฑ์5,000.ใบรับจดแจ้ง 5,000.หนังสือรับรอง 5,000. คำขออนุญาต 2,000. คำขอขึ้นทะเบียนตำรับ 2,000. คำขอแจ้งรายละเอียดหรือคำขอจดแจ้ง ฯลฯ หยุมหยิมไปหมด เอาแค่ได้ใบอนุญาตแค่นั้นปาเข้าไป 199, 000 บาทถ้าต้องเป็นหนี้เป็นสินเขามาขึ้นทะเบียนยา ขายยาหม่อง ยาหอม ยาอม ยาดม ยาทา กันกี่ปีถึงจะได้คืนทุน?มิต้องแขวนคอตายเพราะถูกเจ้าหนี้กดดัน เหมือนเกษตรกรรายหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้วละหรือ ?