รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
“ผอ.สถานศึกษา/รอง ผอ.สถานศึกษา” ... หรือเรียกง่าย ๆ ผอ.โรงเรียน/รอง ผอ. โรงเรียน ซึ่งเป็น ผู้บริหารในแต่ละแห่ง นับว่าเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญในการบริหาร/จัดการ โดยมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ไว้อย่างชัดเจน
- สถานศึกษาจะได้มาตรฐาน หรือไม่ ? ผู้บริหารเป็นปัจจัยสำคัญ
- โรงเรียนแต่ละแห่งจะตอบสนองความต้องการชุมชนได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของ ผอ. และรอง ผอ.
- นักเรียนจะเก่ง สามารถอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข ก็ไม่พ้น ผอ. รอง ผอ.
- การศึกษาของชาติจะไปในทิศทางไหน ? ให้ดู ผอ. รอง ผอ.
ฯลฯ
สารพัดที่จะกล่าว “เรื่องของการศึกษาไทย” ดูจะผูกไว้กับตัว ผอ. และ รอง ผอ.
ทั้งหมดเป็นความคาดหวัง ไล่เลียงมาตั้งแต่ ผู้ปกครอง ชาวบ้าน ชุมชน จนถึงประเทศชาติที่มีต่อ “ผู้บริหาร” ในระดับสถานศึกษา
ยุคสมัยหนึ่ง ผู้บริหารต้องผูกติดกับ “ใบปริญญา” .... ต้องปริญญาโททางการศึกษาจึงจะก้าวหน้า สู่เส้นทาง ผอ. ได้ อาจจะกล่าวสั้น ๆ ได้ว่า “ใช้ใบปริญญาเป็นใบเบิกทาง”
มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็เปิดหลักสูตรปริญญาโททางการศึกษารองรับการผลิต ผอ. รอง ผอ. สถานศึกษา กันเต็มบ้านเต็มเมือง
เมื่อเข้าสู่เส้นทางผู้บริหาร คำว่า “วิทยฐานะ” ก็กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้บริหารสถานศึกษาไม่อาจมองข้าม
ผู้บริหารเริ่มต้นจาก ผอ. รอง ผอ. ชำนาญการ ไต่เต้าไปเป็น ผอ. รอง ผอ. ชำนาญการพิเศษ ผอ. รอง ผอ. เชี่ยวชาญ ผอ. รอง ผอ. เชี่ยวชาญพิเศษ ... “นี่คือเส้นทางแห่งวิชาชีพ”
“วิทยฐานะ” แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่มีความรู้ความสามารถอย่างเด่นชัดว่ามีความชำนาญระดับพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ และระดับเชี่ยวชาญพิเศษ
ถ้าจะเจาะลึกถึงการบริหารจัดการสถานศึกษา คงต้องพูดถึงการบริหารจัดการบุคลากรอย่าง “ครู” ที่ไม่ใช่บุคลากรทั่ว ๆ ไป เพราะ “ครู” มีการศึกษา อบรม และมีวิชาชีพที่เป็น “วิชาชีพชั้นสูง” ที่ให้ทั้งการบริการทางสังคมโดยใช้วิธีการทางปัญญา มีเสถียรภาพในการใช้วิชาชีพ มีจรรยาบรรณ รวมทั้งมีสภาวิชาชีพ คือ “คุรุสภา” รองรับ
“ครู” ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสถานศึกษา ก็อยู่ในการบริหารจัดการของ ผอ. และ รอง ผอ. “ครูก็ยังต้องมีวิทยฐานะ” แล้วผู้บริหารสถานศึกษา ไม่มีวิทยฐานะได้อย่างไร ?
อาจจะมีคนเถียงว่า “อธิการบดี” ของมหาวิทยาลัยยังไม่เห็นต้องมีตำแหน่งวิชาการเลย ยังสามารถบริหารจัดการอาจารย์ที่เป็นศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ได้
ตอบง่าย ๆ สั้น ๆ “อธิการบดี” มีวาระ 3 – 4 ปี แต่ ผอ. รอง ผอ. ต้องไต่ระดับ เป็นแล้วก็จะเป็นเลย ... มีแต่จะสูงขึ้น ไม่มีวาระ
หรือนั่นเขาเรียกว่า “ตำแหน่งทางวิชาการ” ไม่ใช่วิทยฐานะของตำแหน่ง เน้นวิชาการเป็นหลัก
แต่จริง ๆ แล้ว จุดหลักของการให้มีวิทยฐานะเป็นการกำหนดความก้าวหน้าของเส้นทางในวิชาชีพ เป็นสำคัญนั่นเอง
การที่ระบุท้ายตำแหน่งว่าเป็น ผอ. หรือ รอง ผอ. “ชำนาญการพิเศษ” เพื่อแสดงว่า ชำนาญการพิเศษ ในด้านการบริหารจัดการสถานศึกษาหรือการระบุว่า ผอ. รอง ผอ. ท่านนั้น ๆ ว่า “เชี่ยวชาญ” ก็คือ เชี่ยวชาญ ในการบริหารจัดการสถานศึกษา และมีเส้นทางที่จะพัฒนาความเชี่ยวชาญไปสู่ความ “เชี่ยวชาญพิเศษ” ที่เป็นเป้าหมายแห่งการประกอบวิชาชีพมากกว่าการกำหนดเพียงอายุว่า “60 ปี ต้องเกษียณ” จากการเป็นข้าราชการเท่านั้น
ส่วนการจะได้มาซึ่งวิทยฐานะของ “ผู้บริหารสถานศึกษา” ก็มีการพัฒนารูปแบบมายาวนานพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเวียนที่เข้าใจในแวดวงของ ผอ. รอง ผอ. ทั้ง ว10 ว13 ว17 หรือ ว21 (ที่มีการยกร่างกันอยู่)
ยังไม่รวมถึงความเข้มข้นที่จะต้องคัดสรรให้ได้ว่าผู้บริหารที่ได้วิทยฐานะเหล่านี้ต้องชำนาญการพิเศษหรือเชี่ยวชาญ หรือเชี่ยวชาญพิเศษจริง ๆ ให้สมกับชื่อตำแหน่ง นั้นควรกำหนดไว้อย่างไร ?
นี่เอง ! จึงเป็นคำตอบที่ว่า “ทำไม? ผู้บริหารสถานศึกษา” ผอ. รอง ผอ. ต้องมี “วิทยฐานะ” ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็น “ผู้บริหารมืออาชีพ” ที่มีความ “ชำนาญการพิเศษ” “เชี่ยวชาญ” ในการบริหารจัดการจนเป็นที่ยอมรับและ “เชี่ยวชาญพิเศษ” จริง ๆ มีผลงาน (ฝีมือ) เป็นที่ยอมรับทั้งคนในวงการ วิชาชีพครูและวิชาชีพอื่น ๆ !