แม้ความเคลื่อนไหวของ กลุ่มโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (Ilaw) ที่นำหน้าโดยจอน อึ้งภากรณ์ และ พริษฐ์ วัชรสินธุ์ เดินเท้ามาจากสถานีรถไฟฟ้า MRT เตาปูน มายังรัฐสภา เกียกกาย เพื่อนำรายชื่อประชาชนกว่าแสนรายชื่อ ส่งให้รัฐสภาเพื่อยืนยันเจตจำนงของประชาชน ในการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน คือภาคต่อ เพื่อสานเป้าหมายผลักดันให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน หลังจากที่ การชุมนุมต่อต้านเผด็จการโดย กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ และการชุมนุม เพิ่งจบลงเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่า เวลานี้ ฝ่ายที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน กำลังกลายเป็น บรรดา "แกนนำม็อบเยาวชนปลดแอก" ที่นำการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20ก.ย.ที่ผ่านมา เพราะนอกจากจะเคลื่อนไหวชนิดที่เรียกว่า "ไม่สุด"แล้วจากนี้ไปยังจะโดน "เช็คบิล" กันถ้วนหน้า ! โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ก.ย. พล.ต.ต.สุคุณ พรหมายน พร้อมด้วย พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย , พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (รองผู้ว่าฯกทม.) และ สถาพร เที่ยงธรรม ผู้อำนวยการกองโบราณคดี กรมศิลปากร ร่วมกันแถลงข่าวกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ถอนหมุดที่ใช้ชื่อว่า "คณะราษฎร์ 2" ที่กลุ่มผู้ชุมนุมจัดกิจกรรมฝังไว้ที่สนามหลวง เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้จัดให้มีการชุมนุมในความผิดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เบ็ดเสร็จแล้ว นครบาลดำเนินการแจ้งความเอาผิด "16แกนนำ" ในความผิดทั้งการปราศรัย การชุมนุมที่ผิดกฎหมายกลางท้องสนามหลวง ส่วนการปักหมุดที่ทำพิธีกันเอง ก็ถูกแจ้งข้อหา ทำความผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน ยังไม่นับรวมกรณีที่มีบุคคล ไปแจ้งความร้องทุกข์กับหน่วยงานต่างๆ ต่างกรรม ต่างวาระ แต่ที่น่าวิตก และน่าหนักใจมากไปกว่านั้น คือการออกมาแถลงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ออกมายืนยันดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมและผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังทุกข้อหาไม่ละเว้น โดยเฉพาะการกระทำที่ไม่บังควร การปราศรัยที่หมิ่นเหม่ไม่เหมาะสม กระทบต่อความรู้สึกของคนไทย หมายความว่า จะได้เห็นการแจ้งข้อหา ความผิดตามมาตรา 112 ความผิดต่อสถาบัน ด้วยกันประมาณ 3-4ราย "เรายืนยันว่าเราจะยึดมั่นการดูแลความสงบเมื่อชุมนุมตามกฎหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่ทำผิดกฎหมายกระทำการล่วงละเมิดสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทย เป็นหน้าที่ของตำรวจทุกนายต้องพิทักษ์รักษา ดำเนินการอย่างถึงที่สุด" พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.)ระบุระหว่างการแถลงข่าว แต่ถึงกระนั้นการเคลื่อนไหวของกลุ่มประชาชนปลดแอก รวมทั้งพันธมิตรแนวร่วมที่ชุมนุมไม่เอารัฐบาลแต่กลับมีสะท้อนเป้าหมายโจมตีสถาบันอันเป็นศูนย์รวมใจของชาวไทย แกนนำทุกคนต่างรู้ดีว่า ที่สุดแล้วพวกเขาเองต้องเผชิญหน้ากับการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และยังหวังว่าแม้จะถูกจับกุม แต่ก็จะมี "คนสานต่อ" ในอุดมการณ์ที่ถูกปลุกขึ้นมา ดังนั้นการเผชิญหน้าทางกฎหมาย หรือสิ่งจะเกิดขึ้นหลังการชุมนุมเคลื่อนไหว จึงไม่มีอะไรเกินไปจากคาดหมาย แต่การแปรเปลี่ยน "ความสุ่มเสี่ยง" ให้กลายเป็น "ความเสียสละ" ที่จะปลุกเร้ามวลชนให้ลุกขึ้นมาออกมาสานต่ออุดการณ์นั้น ที่สุดแล้วอาจเป็นเรื่องยากเย็น ห่างไกลจากความเป็นจริง มากขึ้นเท่านั้น และที่ร้ายไปกว่านั้นคือการต่อสู้ครั้งนี้ของกลุ่มเยาวชน นักศึกษา จะถูก โดดเดี่ยว จาก "ฝ่ายการเมือง" ที่กำลังพากันตีกรรเชียงหนีกันให้ระนาว !