แสงไทย เค้าภูไทย การบล๊อกเว็บยูทูปที่เผยแพร่ภาพยนต์เรื่อง The Great Dictator ของชาร์ลี แชปปลิ้น ตลกอมตะที่คนไทยชื่นชอบพากษ์ไทยสำเนียงอีสาน จากการแนะนำของเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองดีเองในวาระครยรอบ85 ปีประชาธิปไตย สร้างความรู้สึกแปลกๆ ช่วงวันรำลึก 85 ปีประชาธิปไตย การอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475 เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง(คนส.) ได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อออนไลน์เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมโดยร่วมกันฉายและแชร์ภาพยนต์เรื่อง “จอมเผด็จการผู้ยิ่งใหญ่” The Great Dictator นำแสดงโดยชาร์ลี แชปปลิ้น และ “สัญญาของผู้มาก่อนกาล”The Six Principles ในเวลา 19.00 น.ของวันที่ 24 มิถุนายน พอถึงวันและเวลานัด มีผู้เปิดเข้าไปชมตามลิงก์ที่แนะนำ htpp://www.youtube.com/watch?v= B8DDvRbffeE และ http://vimeo.com/14731445 กลับพบว่าเว็บไซต์ถูกบล็อกโดยมีข้อความว่า “เนื้อหานี้ไม่สามารถชมได้บนโดเมนของประเทศนี้เนื่องจากมีการร้องเรียนทางกฎหมายจากรัฐบาล” ส่วน The Six Principles ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา The Great Dictator เป็นภาพยนต์เมริกัน นำออกฉายใน ปี 1940 นำแสดงโดยชาร์ลี แชปปลิ้น ดาราตลกคลาสสิกก้องโลก ทั้งนี้แชปปลิ้น ทำตัวเป็นเผด็จการเสียเองด้วยการรวบอำนาจ เขียนบทเอง-กำกับเอง-แสดงเอง ทั้งหมด แรงบันดาลใจให้เขียนและสร้างหนังเรื่องนี้เกิดจากเขาและอะดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เผด็จการนาซี แห่งเยอรมนี เกิดในสัปดาห์เดียวกันแต่ห่างกันแค่ 4วัน ทำให้มีคำถามในใจว่า ทำไมฮิตเลอร์ถึงเป็นเผด็จการ มุ่งสังหารชาวยิว แต่แชปปลิ้น กลับเห็นใจยิวและเห็นทุกคนในโลกเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน เขานำความรู้สึกนี้ไปเป็นฉากสุดท้ายของภาพยนต์ ที่เป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องแรกของเขา โดยเป็นการกล่าวสุนทรพจน์ที่ในยุคนั้นโด่งดังกินใจมาก หนังเรื่องนี้ทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็นตัวตลก โดยแชปปลิ้นแสดงเป็นคนสองคน คนหนึ่งคืออะเดนอยด์ ฮิงเก้ล (ฮิตเลอร์) จอมเผด็จการแห่งประเทศโทมาเนีย อีกคนคือ ช่างตัดผมชาวยิวที่หน้าตาเหมือนฮิงเก้ลมาก ช่างตัดผมถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วก็มีอาการโรคจิต ต้องอยู่โรงพยาบาลกว่าสิบปี ฮิตเลอร์ร่วมกับมุสโสลินี จอมเผด็จอิตาลี แบ่งหน้าที่กันนำทัพยึดครองยุโรป ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 และทำทุกอย่างไม่ต่างจากในบทภาพยนตร์ที่แชปปลิ้นเขียนไว้เมื่อ 6 ปีก่อน แชปปลิ้น ในบทช่างตัดผม สรวมรอยฮิงเก้ล เอาทัศนคติทางการเมืองของเขาไปเปรียบเทียบกับฮิตเลอร์ใน The Final Speech สุนทรพจน์สุดท้าย “ข้าพเจ้าขอประทานโทษที่ไม่ต้องการเป็นจักรพรรดิ เนื่องจากไม่ใช่กงการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องการปกครองหรือมีชัยเหนือผู้ใด ข้าพเจ้าเพียงแต่จะช่วยทุกๆคน...ถ้าเป็นไปได้.. ไม่ว่าจะเป็นยิว คนผิวดำผิวขาวเราต้องการช่วยกันและกัน มนุษย์น่าจะเป็นเช่นนั้น เราต้องการอยู่ร่วมกัน แบ่งปันความสุขต่อกัน ไม่ใช่แบ่งปันความทุกข์ เราไม่ต้องการความเกลียดชังซึ่งกันและกัน โลกนี้ยังมีที่ว่างอีกมากมายนัก โลกที่แสนดีมีความมั่งคั่งที่จะแบ่งปันให้ทุกคน วิถีชีวิตเราน่าจะเป็นอิสระเสรีอันงดงาม แต่เรากลับสูญเสียมันไป.. “ความโลภโมโทสันไปฉาบพิษต่อจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นผนังแบ่งแยกโลกด้วยความเกลียดชัง นำไปสู่ความเจ็บปวดทุกข์ทนและนองเลือด   “เราได้พัฒนาความเร็ว(ของเครื่องจักร) แต่เราก็กลับใช้มันกักขังตัวเรา... “เหนือกว่าเครื่องจักรก็คือความเป็นมนุษย์ เหนือกว่าความฉลาดปราดเปรื่องก็คือ เมตตาธรรมและความอ่อนโยน หากขาดสิ่งเหล่านี้ ชีวิตจะมีแต่ความรุนแรงและทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่หายนะ... “เครื่องบินและวิทยุนำเราเข้ามาใกล้ชิดกัน (ถ้าเป็นยุคนี้ก็ต้องโซเชียลีเดีย)    ธรรมชาติของนวัตกรรมเหล่านี้ส่งเสียงแห่งความดีงามสู่มวลมนุษย์ –ส่งเสียงสู่ภราดรภาพแห่งจักรวาล –เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวแห่งจักรวาล ณ บัดนี้ เสียงของข้าพเจ้ากระจายไปสู่ผู้คนนับล้านๆทั่วโลก – สู่มวลชนนับล้านๆคนผู้ท้อแท้ สตรีและเด็ก- เหยื่อของระบบที่ทำให้มนุษย์ถูกทรมาณและกักขังผู้บริสุทธิ์ “ผู้ที่ได้ยินเสียงของข้าพเจ้า ขออย่าสิ้นหวัง ความทุกข์ยากของพวกเรากำลังจากไปพร้อมกับความโลภกระหายพร้อมจอมเผด็จการพากันตาย.. “อำนาจที่พวกเขาฉกฉวยไปจากประชาชนกำลังคืนกลับสู่ประชาชน แม้พวกเขาจะตายไป แต่เสรีภาพจะไม่มีวันตาย... “ทหารอย่ายอมตัวให้คนลุแก่อำนาจ –ให้ถูกหยาบหยาม-ยอมตกเป็นทาส-ให้ปกครองครอบงำชีวิต-สั่งให้ทำโน่นนี่ –สั่งให้คิด สั่งให้รู้สึก ทำราวกับท่านเป็นวัวควาย (cattle) …. “ทหารทั้งหลาย อย่าสู้เพื่อความเป็นทาส ! หากแต่สู้เพื่อเสรีภาพ !... “ในบรรพที่ 17 ของธรรมกถานักบุญเซนต์ลุก กล่าวว่า “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวมนุษย์” -ไม่ใช่บุคคลใดคนหนึ่งหรือกลุ่มบุคคลใด กลุ่มบุคคลหนึ่ง มันอยู่ในทุกคน ! ในตัวท่าน ท่านผู้ซึ่งมีอำนาจ.... “ฉะนั้น - ในนามแห่งประชาธิปไตย- พวกเราจงมาใช้อำนาจ-จงรวมพลังเป็นหนึ่ง-จงมาต่อสู้เพื่อโลกใหม่-เพื่อให้อนาคตที่เปี่ยมสวัสดิภาพแก่ชนรุ่นหลัง ด้วยปฏิญญาต่อกัน.. “พวกป่าเถื่อนก้าวสู่อำนาจก็จริง แต่พวกเขาล้วนหลอกลวง พวกเขาไม่เคยทำตามคำมั่นสัญญา และจะไม่ทำตามสัญญา!.... นี่เป็นเนื้อหาหลักๆเฉพาะที่คนไทยพอจะรับได้ ดูแล้วไม่เห็นมีอะไรที่ทิ่มแทงใจดำใคร แต่ยุคนั้นไม่รู้ว่าท่อนไหนไปสะกิดใจคนดูหนังเรื่องนี้ปรากฏว่าถูกปาจอกันแทบทุกโรง แต่ผลดีก็มี คือเมื่อมีคนชังมาก ก็มีคนเชียร์มาก แห่มาดูหนังเรื่องนี้กัน โรงแทบแตก การที่ คนส.คิดว่าในยุคประชาธิปไตยไทยเว้นวรรค ในห้วงแห่งการรำลึก 85 ปีประชาธิปไตยคนไทยควรจะดูหนังเรื่องนี้ ไม่รู้จุดประสงค์ว่าให้ดูเอาสาระ หรือดูตลก ผ่อนคลาย แต่สำหรับหน่วยงานรัฐที่ดูแลด้านข้อมูลข่าวสารส่วนนี้ ไม่รู้ว่าใช้ความรู้สึกส่วนไหน มาเป็นเหตุผลบล็อกเว็บที่แสนจะตลกเรื่องนี้ หรือว่าดูแล้วไม่ตลก?