บรรยากาศการต่อสู้ทางการเมืองในห้วงที่ผ่านมา ทำให้สังคมไทยบางส่วนเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงถึงสงครามกลางเมือง ที่อาจะปะทุขึ้นมาซ้ำเติมประเทศไทย ในภาวะที่สงครามไวรัสยังไม่จบ จากความขัดแย้งทางความคิด ที่หากไม่มีใครถอดสลัก ระเบิดเวลาพร้อมจะทำงานได้ทุกเมื่อ สถานการณ์ประเทศไทย เหมือนวนกลับมาสู่สถานการณ์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และเนื่องในวันที่ 21 กันยายน ของทุกปี เป็นวันสันติภาพสากล คงไม่มีใครอยากเห็นสภาพสังคมไทยต้องแตกร้าวเป็นเสี่ยง ใช้กำลังประหัตประหารกัน ข้อความดังต่อไปนี้ คือบางส่วนจากรายงานเรื่อง “เตือนสติสังคมต่างสีกับพระไพศาล วิสาโล เจ้าของรางวัลศรีบูรพา 2553 โดยสำนักข่าวอิศรา เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 ) นำปาฐกถาของพระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อ.แก่งคล้อ จ.ชัยภูมิ ที่ศูนย์ประชุมสหประชาติ เมื่อปลายปี 2552 ก่อนสถานการณ์ความรุนแรงจะเกิดขึ้น มาเผยแพร่ ดังนี้ “ความขัดแย้งทางการเมืองแบบแบ่งฝ่ายและเผชิญหน้ากันอย่างชัดเจน มีแนวโน้มจะอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน เพราะภาพที่ปรากฏไม่ใช่เพียงความขัดแย้งระหว่างบุคคลแต่เกิดจากโครงสร้างสังคมเศรษฐกิจที่ร้าวฉาน ซึ่งคนไทยมักมองปัญหาแค่ระดับบุคคลจึงมองไม่เห็นทางออก ความขัดแย้งระหว่างคนต่างสีเป็นมากกว่าการต่อสู้ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกกับฝ่ายตรงข้าม การที่คนระดับรากหญ้าจำนวนมากร่วมสนับสนุนไม่ใช่เพราะอำนาจเงินเท่านั้นแต่เพราะไม่พอใจกับสภาพเศรษฐกิจการเมืองที่เป็นอยู่ มีไม่กี่ประเทศในโลกที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างคนในชาติมากเท่าไทยจนเรียกได้ว่าเป็น หนึ่งรัฐสองสังคม ซึ่งเป็นรากเหง้าความขัดแย้งในปัจจุบัน คนระดับล่างที่ยากจนถูกทอดทิ้งจากรัฐส่วนใหญ่อยู่ในชนบทได้รับผลประโยชน์น้อยมากจากการพัฒนาตลอด 50 ปีที่ผ่านมา มิหนำซ้ำยังถูกแย่งชิงทรัพยากรจากชนบทไปสนับสนุนเมืองคนเหล่านี้จึงหันไปพึ่งผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นกลายเป็นฐานเสียงให้เจ้าพ่อได้เป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี และนโยบายประชานิยมที่หยิบยื่นผลประโยชน์ลงไปให้ชนบทและคนยากไร้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ชาวบ้านชนบทและคนจนเมืองจำนวนมากยังสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ (ทักษิณ ชินวัตร) ทางออกที่ท้าทายของสังคมไทยที่บ้านเมืองแตกแยกมีการเผชิญหน้า และพร้อมใช้ความรุนแรงทุกฝ่าย การเทศนาสั่งสอนหรือเรียกร้องให้คนไทยปรองดองกันมีความหมายน้อยมาก เอกภาพและความสามัคคีของคนในชาติจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างคือลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างเมืองกับชนบท คนจนกับคนรวย เปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงทรัพยากรของรัฐอย่างเท่าเทียม มีกลไกการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ปฏิรูปที่ดินและปฏิรูปภาษีอย่างจริงจัง สิ่งเหล่านี้เป็นทางออกระยะยาวให้เกิดสังคมสมานฉันท์ ส่วนมาตรการระยะสั้นระยะกลางก็ต้องเร่งสร้างกลไกเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งอย่างสันติ มีเวทีต่อรองที่เท่าเทียม ทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย มีสื่อกลางเพื่อส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกัน สังคมต้องมีสติ มีเมตตา เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งบานปลายไปสู่ความรุนแรง ส่วนระยะยาวแล้วต้องแก้ที่รากเหง้าของปัญหาคือโครงสร้าง หนึ่งรัฐสองสังคม ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท” เราหวังว่า ข้อคิดจากพระไพศาลกล่าวไว้ก่อนวิกฤติการณ์การเมืองปี 2553 จะยังประโยชน์และให้สติผู้คนทุกฝ่ายในสถานการณ์ปี 2563 เพราะแม้ตัวละคร และบริบทต่างๆจะเปลี่ยนแปลง แต่หัวใจของวิกฤติไม่ได้เปลี่ยนไป