แนวคิดเศรษฐกิจกระแสหลักซึ่งเดินตามลัทธิเสรีนิยมโลกาภิวัตน์มองว่า ปัญหาด้านเศรษบกิจของสังคมไทยคือสังคมไทยติดกับดักประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทสมีรายได้ต่ำ จำเป็นต้องยกระดับสังคมให้เป็นสังคมที่รายได้สูงตามแบบประเทศทุนนิยมที่เจริญแล้ว
ฐานรากที่เปลี่ยนแปลงให้สังคมไทยเป็นสังคมรายได้สูง(แบบฝรั่ง)คือ 1.จะต้องพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมยุค 4.0 คือใช้เทคโนโลยีสูง 2.ขยายและเสริมความแข็งแกร่งของตลาดภายในประเทศ 3.ต้องเปลี่ยนการผลิตเกษตรกรรมให้เป็นแบบฟาร์มใหญ่
จุดที่น่าเป็นห่วงคือ สินค้าอุตสาหกรรมไฮเทค เช่นอุตสาหกรรมการบินที่พยายามจะสร้างขึ้นในเขตเศรษบกิจภาคตะวันออกนั้น ก็ยังเป็นสินค้าส่งออก ที่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ ชะตากรรมยังขึ้นกับภาวะของเศรษฐกิจโลกเหมือนเดิม
การขยายตลาดภายในประเทศ แท้จริงก็คือต้องเพิ่มรายได้ของพลเมืองไทยให้สูงขึ้น สามารถซื้อสินค้าคุณภพและราคาที่สูงขึ้นได้ แต่ขณะนี้เราก็ยังหวังได้ยากว่า จะเพิ่มรายได้ของมวลมหาชนกันได้อย่างไร สำหรับปัญญาชนชนชั้นกลางที่มีความรู้เฉพาะทางรับใช่เศรษฐกิจยุคเทคโนโลยีใหม่นั้น สามารถมีรายได้สูงขึ้นจริง และสำหรับพลเมืองไทยส่วนใหญ่แล้ว เราจะให้พวกเชามีรายได้สูงขึ้นมาก ๆ ได้อย่างไร ยังมืดแปดด้าน
ส่วนด้านเกษตรกรรมนั้น การเกษตรแบบฟาร์มใหญ่ก็ยังไม่ใช่หลักประกันว่าจะช่วยให้เกษตรกรไทยมีรายได้สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน ปัญหาสำคัญคือ เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนาเผชิญปัญหาสินค้าเกษตรกรรมราคาตกต่ำ ทำให้ขาดทุนเสมอ ๆ แม้ว่าสภาวะด้านอาหารในโลกยังขาดแคลนอาหาร
ประเทศไทยประสบปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำมายาวนานมาก และก็ยังไม่มีใครหาวิธีแก้ไขแบบยั่งยืนได้เลย ส่วนใหญ่รัฐทำได้แค่เพียงแก้ปัญหาปลายเหตุเท่านั้น เช่น การจำนำข้าว , รัฐรับซื้อผลผลิตไว้เองในราคาสูงกว่าตลาด เป็นต้น ซื่งก็ช่วยเหลือเกษตรกรแบบชั่วคราวได้บ้างไม่สำเร็จบ้าง
ฝ่ายนักวิชาการด้านสหกรณ์ ก็พยายามเสนอแนะให้พัฒนา ขยาย สหกรณ์ แต่ย้อนดูประวัติการเมืองแล้ว ก็เห็นว่าไม่มีรัฐบาลไทยชุดใด จริงใจกับลัทธิสหกรณ์ !
มาวันนี้จะใช้ยุทธศาสตร์ประชารัฐ เราก็ยังไม่เห็นประสิทธิผลที่จะเป้นหลักประกันแน่นอนได้
ฝ่ายนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะมองว่า เหตุผลต้นตอที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ก็คือมีผลผลิตออกมามากเกินความต้องการของตลาดเฉพาะหน้า ทั้งข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน พืชไร่ พืชผัก และไม้ผล ไม้ยืนต้น สำหรับไม้ผลยังแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ ทั้ง เงาะ มังคุด ทุเรียน ลองกอง และลำไย เป็นต้น ผลไม้เหล่านี้มักจะมีช่วงการเก็บเกี่ยวพร้อม ๆ กัน ส่งผลให้ราคาตกต่ำเป็นประจำ
นักวิชาการได้เสนอหลายวิธีในการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ โดยมุ่งเน้นการตลาดหรือด้านความต้องการของผู้บริโภค (อุปสงค์) และการวางแผนด้านการผลิต (อุปทาน)
การวางแผนด้านการผลิตนั้น รัฐจะต้องกำหนดพื้นที่เพาะปลูก เรียกกันอย่างเคยชินว่า โซนนิ่งแต่มันทำสำเร็จยาก เพราะบ้านเมืองนี้เป็นแดนเสรี บังคับกันไม่ได้และที่สำคัญคือแนวทางแก้ปัญหาของทุกรัฐบาล ไม่สามารถดัดแปลงแก้ไขต้นตอปัญหา คือ “ทุนนิยมโลก” ได้ ระบบ “ทุนนิยม” นับตั้งแต่ “ยุคสะสมทุน” มาจนถึง “ยุคโลกาภิวัตน์” ล้วนแล้วแต่ขูดรีดภาคเกษตรกรรม ดูดกินน้ำเลี้ยงจากภาคเกษตรกรรม แต่มิได้ยกระดับฐานะเศรษฐกิจของเกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนา นี่คือจุดบอดอันร้ายแรงของระบบทุนนิยมโลก