สถานการณ์ก่อนวันที่ 19 กันยายน 2563 ยังโฟกัสที่กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมจะสามารถเข้าไปใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้หรือไม่ และด้วยวิธีการใด และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่สามารถเข้าไปในบริเวณมหาวิทยาลัยได้ หรือถ้าสามารถเข้าไปได้จะเป็นอย่างไร นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำเยาวชนปลดแอก ยืนยันว่า แม้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ ในการชุมนุมแต่ก็จะจัดการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต่อไป โดยให้เหตุผลว่า ธรรมศาสตร์เป็นของประชาชน อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายพริษฐ์ได้เปิดเผยทิศทางการชุมนุมตอนหนึ่งผ่านเพจเฟซบุ๊กระบุว่า “...ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ทุกคนตั้งแต่ระดับมัธยมขึ้นไปพร้อมจะพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์อย่างเปิดเผยแล้ว อย่าเอาเรือขวางน้ำเชี่ยว อย่าทะเลาะกับกาลเวลา มันเป็นไปตามยุคสมัย การยอมปรับตัวเท่านั้น คือทางทำให้สถาบันกษัตริย์ สง่างาม แต่การปิดปากจะทำให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมลงไป ยิ่งกว่านี้ เชื่อผม ในส่วนของวันที่ 19 นี้ จัดแบบเบิ้มๆ แน่นอน ขอให้พี่น้องจากทุกสารทิศมารวมตัวกัน ที่ท่าพระจันทร์ เพราะถ้าคนเยอะ เราจะไปยึดสนามหลวงคืนเป็นสนามประชา ชน!.” ขณะที่กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์ นำโดยนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เหตุผลในการรวมตัวกันคัดค้านการใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า เป็นมวลชนที่ผ่านการปลุกปั่นมายาวนานในโลกไซเบอร์ ซึ่งเมื่อออกจากทวิตเตอร์มารวมตัวกันจริงๆ บนท้องถนนแล้ว ก็ยิ่งจะก้าวร้าวราวกับเรดการ์ด จนยากที่จะเชื่อหรือหวังในความสงบและการเจรจากัน เช่น วิถีทางประชาธิปไตยได้ และมองไม่เห็นว่านักศึกษากลุ่มนี้จะมีความสามารถในการนำ ควบคุม จัดการ คุ้มครอง ผู้ชุมนุม ให้เกิดความสงบได้อย่างไร “ยิ่งวางแผนว่าจะเทม็อบ 40,000 คน ใส่ทำเนียบรัฐบาล ด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าห่วงว่า จะได้เห็นร่างวีรชนต้องจากไปอีกหลายคนเหมือนคราวที่เทม็อบพฤษภาทมิฬอีก” อีกด้านหนึ่งนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ และศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก ถึง รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื้อหาระบุว่า เชื่อว่านางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง, นางสาวจุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรืออั๋ว และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน รวมถึงนักศึกษาส่วนใหญ่ ทั้งปัจจุบัน และอดีต รวมทั้งเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่น gen Z ต่างยึดมั่นในนโยบายของอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตอธิการบดี และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยืนยันว่า "ธรรมศาสตร์ มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว" รวม ถึงหลักการของ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดี ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ "สันติประชาธรรม" และเมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติแล้ว ตนพบว่าเสรีภาพ จะบังเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยการต่อสู้ “ขอให้รุ้ง ขอให้อั๋ว ขอให้เพนกวิน และคนรุ่นใหม่ รุ่นกลาง รุ่นเก่า ที่รักในเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ขอให้ได้ร่วมมือกัน และประสบความสำเร็จ ปลอดภัยในเส้นทางแสวงหาประชาธิปไตย ทั้งนี้ ทั้งนั้น โดยที่ธรรมศาสตร์ เปิดพื้นที่และอำนวยความปลอดภัยให้ด้วย” เราเห็นว่า สถานการณ์วันนี้ ประตูของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และไม่ว่าประตูของมหาวิทยาลัยแห่งไหนๆ ก็พร้อมเปิดรับกลุ่มผู้ชุมนุม ติดอยู่เพียงเงื่อนไขสำคัญคือ การเพิ่มดีกรีการเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม ประกาศสืบสานอุดมการณ์ของคณะราษฎร และการสะท้อนถึงทัศนคติที่ต้องการยกระดับขึ้นไปพูดจาเรื่องสถาบันต่างหาก ที่กำลังทำลายแนวร่วมของม็อบปลดแอก และปิดประตูไปสู่เส้นทางของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันเป็นเป้าหมายสำคัญ