การกลับมาพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ในประเทศไทย ส่งผลกระทบให้มีการเข้มงวดกวดขันมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดต่างๆ โดยเฉพาะการลักลอบเข้าประเทศของเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดีในส่วนของการฟื้นฟูประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจก็ต้องดำเนินการควบคู่กันไป นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เปิดเผยว่า แนวคิดการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในรูปแบบการจำกัดพื้นที่เดินทางและอยู่อาศัย นำร่องที่จ.ภูเก็ต ล่าสุดได้ลงพื้นที่จ.ภูเก็ต เพื่อสำรวจความพร้อมในเชิงพื้นที่ พบว่า มีความพร้อมแล้ว แต่ต้องประเมินผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนก่อน จึงสามารถสรุปผลได้ชัดเจน ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ทำการปรับแผนเปิดรับต่างชาติให้รัดกุมมากขึ้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการปรับเพิ่มเงื่อนไขในเชิงปฏิบัติให้เข้มข้นที่สุด ก่อนนำเสนอ ศบค.ในวันที่ 15 กันยายนนี้ เบื้องต้นการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่น่าจะเปิดได้ทันกำหนดที่คาดไว้คือ 1 ตุลาคมนี้ แต่จะพยายามจัดทำแผนการทำงานให้เสร็จเร็วที่สุด เพื่อเปิดรับต่างชาติให้ทันช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ เพราะเข้าฤดูหนาวเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางหนีหนาวเข้ามาพักในเมืองอบอุ่น อย่างไรก็ตามการเปิดรับต่างชาติจะทำเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะทดลอง ขยายผล และเปิดอย่างจำกัด ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเปิดให้เข้ามา มีเพียง 100 คนเท่านั้น นับเป็นเที่ยวบินตรงจากประเทศต้นทางยังไทยสัปดาห์ละไม่เกิน 1-3 เที่ยวบิน ทำให้ระยะเริ่มต้นจะมีต่างชาติเข้ามาไม่เกิน 300 คนเท่านั้น ไม่ได้จะเปิดให้ทะลักเข้ามาในครั้งเดียวเหมือนที่หลายคนกังวล ขณะที่นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เห็นด้วยหากรัฐบาลจะพิจารณาเปิดรับคนต่างชาติเข้าประเทศ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความเคลื่อนไหว แต่จะต้องพิจารณาในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่ำ และจำกัดพื้นที่ให้มีการทำกิจกรรมอย่างเหมาะสม ทั้งนี้หอการค้าไทยได้มีการหารือร่วมกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของสาธารณสุขและภาคธุรกิจต่างๆเห็นว่ากลุ่มที่ควรพิจารณาให้เข้าประเทศก่อนคือกลุ่มนักธุรกิจ เพราะมีกิจกรรมและสถานที่ในการเข้าประเทศชัดเจน ต่อมาเป็นกลุ่ม Health and Wellness จากนั้นค่อยพิจารณากลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ สำหรับพื้นที่รับนักท่องเที่ยวในประเทศนั้นต้องมีการพิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสม อาจต้องทดลองเปิดรับในบางจังหวัดก่อนเช่น ภูเก็ต หรือเกาะสมุย และวางแผนจัดกิจกรรมให้เหมาะสม ไม่ให้นักท่องเที่ยวรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานที่กักกันแต่จะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย โดยจากการหารือพบว่าปัญหาที่ประเทศไทยยังไม่สามารถเปิดรับกลุ่มนักธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำเข้าประเทศได้นั้น เป็นเพราะว่าสถานที่ในการกักตัวของภาครัฐ หรือ Alternative State Quarantine (ASQ) ไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยเวลานี้มีโรงแรมจำนวนมากยื่นขอสมัครเข้าร่วมเป็น ASQ ของรัฐ แต่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบเพื่อรับรอง จึงอยากให้มีการพิจารณาขั้นตอนการตรวจสอบให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อให้มีสถานที่กักตัวเพียงพอกับความต้องการของคนที่จะเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น เราเห็นว่า การเปิดประตูรับต่างชาติเข้ามาจะต้องกระทำเท่าที่จำเป็น รอบคอบและรัดกุม ด้วยประเทศไทยนั้นต้องยอมรับว่า ปัญหาที่น่ากังวลที่สุด ไม่ใช่ระบบสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีประสิทธิภาพ หากแต่เป็นเรื่องของขั้นตอนและกระบวนการต่างๆ ระหว่างเดินทางเข้าประเทศ ที่ต้องระมัดระวังเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชัน ให้สินบนเปิดเส้นทางลัดให้กับกลุ่มเสี่ยงเข้ามาในประเทศได้ และอย่าให้ซ้ำรอยกรณี วีไอพีที่เคยเล่นงานจนชุลมุนกันทั้งประเทศมาแล้ว