ข่าวคราวที่สร้างความหวั่นวิตกไม่น้อย สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเพื่อนบ้านมีพรมแดนติดชิดกับประเทศไทย อย่างเมียนมามีสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ เมื่อมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสระบาดหนัก
ทำให้รัฐบาลไทย โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงทุ่มเทสรรพากำลังในการสกัดไม่ให้มีการลักลอบเข้ามาตามชายแดน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.และสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือสมช.ได้ตัดสินใจปิดด่านชายแดน ไม่ให้มีการเข้าออก
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่า “เขาซีลไว้หมดแล้ว"
อย่างไรก็ตาม รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thira Woratanara”ประเมินสถานการณ์โอกาสที่เชื้อไวรัสโควิด-19อาจกลับมาระบาดในประเทศไทยในช่วงเดือนตุลาคม ว่า มาจาก 3 ปัจจัย
1. กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ที่อนุญาตให้เข้ามานั้น ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสัปดาห์ก่อนก็เริ่มเห็นการติดเชื้อในแทบทุกกลุ่มเป้าหมายแล้วทั้งนักธุรกิจนักลงทุน ผู้ป่วยต่างชาติและผู้ติดตาม รวมถึงผู้เชี่ยวชาญหรือแรงงานฝีมือ แต่ตรวจพบระหว่างการกักตัวในสถานที่ที่เตรียมไว้โดยรัฐ หรือโรงพยาบาล
แต่หากจำนวนเคสมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเริ่มเห็นการหลุดจากกรอบการกักตัว 14 วัน แม้จะดำเนินการตรวจตามมาตรฐานไปแล้ว อย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ 100,000 คน จะมีติดเชื้อราว 500 คน และมีโอกาสหลุด 65 คน โดยหากดูพิสัยที่เป็นไปได้ทั้งหมดของโอกาสหลุดรอดจากระบบ จะอยู่ระหว่าง 9-65 คนครับ
ตอนนี้ไม่ทราบว่าจำนวนที่ทยอยเข้ามานั้นมีมากน้อยเพียงใดแล้ว เพราะไม่ได้ตามอัพเดต แต่หากแตะหนึ่งหมื่น ก็มีโอกาสหลุด 1 คนได้ และเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนที่คาดประมาณ
2. ความเสี่ยงจากโรคล้อมไทย เพื่อนบ้านมีการระบาดถ้วนหน้า มีโอกาสทะลักเข้ามาในไทยผ่านช่องทางต่างๆ ได้ และที่น่ากังวลคือ การลักลอบเข้ามาของแรงงานต่างด้าว ซึ่งตบมือข้างเดียวไม่ดัง แรงงานต่างด้าวอยากเข้ามา แต่คงจะยากหากไม่ได้รับความช่วยเหลือของคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนายจ้าง หรือเจ้าหน้าที่...หากมี...
และหากเข้ามาแล้ว มักทำงานในหลายลักษณะ เช่น ที่บ้าน ที่บริษัทห้างร้าน หรือที่โรงงานอุตสาหกรรม การระบาดจึงสามารถปะทุได้หลายรูปแบบ และเกินกว่าที่รัฐจะมีกำลังตรวจสอบได้ กว่าจะรู้ตัวก็มักจะระบาดแบบระเบิดขึ้นมาทันทีทันใด หาต้นตอได้ยาก
และ3. ความเสี่ยงจากฝ่ายธุรกิจการเมืองที่พยายามผลักดันสุดลิ่มทิ่มประตู กับนโยบายฟองสบู่ท่องเที่ยว แปลงร่างแปลงกายในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะโมเดลเกาะสวรรค์ หรือโมเดลจังหวัดร่ำรวยตามภูมิภาคต่างๆ โดยหารู้ไม่ว่า จะนำหายนะมาเยือนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแดนดงโรคโดยยากที่จะกู้คืนมาได้
เมื่อมองมาที่รัฐบาล ที่เผชิญกับแรงเสียดทานรอบด้านในห้วงเวลานี้ ทั้งเกมการเมืองภายในรัฐบาล ในสภาฯและนอกสภาฯ ผลงานหนึ่งเดียวที่เป็นเสมือนผนังทองแดงกำแพงเหล็กคือการป้องกันโรคโควิด-19 จึงต้องรักษามาตรฐานและประสิทธิภาพไว้อย่างเหนียวแน่น เพราะนี่คือปราการด่านสุดท้ายของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา