สถาพร ศรีสัจจัง ฟังว่าบรรดา “นักคิด” ทั้งที่เกิดก่อน และเกิดหลังเหตุการณ์ “14 ตุลาฯ อันยิ่งใหญ่” ที่ภายหลังมีไม่น้อยไปมีส่วนอย่างสำคัญในการร่วมก่อตั้งพรรค “ไทยรักไทย” ของคุณทักษิณ ชินวัตร “นายกรัฐมนตรีผู้นิราศ” คนนั้น ทั้งที่ร่วมสักพักแล้วถอยห่าง และพวกที่ร่วมหัวจมท้ายกับการเมืองสายนี้จนเกิดกรณี “แดงเดือด” ขึ้นในประเทศ และเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจตามมาในท้ายที่สุดนั้น มีความคิดพื้นฐานในการพัฒนาและแก้ปัญหาประเทศอยู่ในสายความคิดที่เรียกว่า “มารกซิสต์กระแสหลัก” คือเชื่อว่า “ความสัมพันธ์ทางการผลิต” ในสังคมเป็นแก่นแกนกำหนดรูปลักษณ์ทางกายภาพ และจิตภาพของสังคม คือเป็นตัวกำหนดทั้งโครงสร้างชั้นล่าง(เศรษฐกิจ)ที่ฝรั่งเรียก Base structure และโครงสร้างขั้นบน(Super Structure) หรือระบบการเมืองวัฒนธรรมทั้งหลาย หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นพวกลัทธิ “เศรษกิจกำหนดแบบกลไก” (Maccanical Economism) พวกเขาจึงเชื่อโดยสนิทใจว่า การจะก้าวสู่สังคมแบบสังคมนิยมได้จำเป็นต้องผ่านการ “พัฒนาทุน” ในระระบบทุนนิยมแบบเต็มรูปเสียก่อนเท่านั้น แนวคิดดังกล่าวนี้น่าจะมีผลอย่างสำคัญทำให้พวกเขาสนับสนุน แนวคิดของคุณทักษิณฯกันอย่างสุดจิตสุดใจ เพราะเชื่อว่า นั่นจะเป็นเส้นทาง “สามัคคีทุนตีศักดินา” ให้ล่มสลายเพื่อก้าวสู่สังคมสังคมนิยมอันเปี่ยมเต็มไปด้วยความเสมอภาคทางสังคมในท้ายที่สุด ไม่แน่ใจนักว่าพวกเขาวิเคราะห์ระบบศักดินาไทยผิดเหมือนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยไปสามัคคีพึ่งพิงหรือเปล่า? เห็นตอนนี้สภาปฏิรูปฯ ที่เป็นองค์กรแห่งความคาดหวังของหลายฝ่ายว่าจะเป็นตัวผลักเพื่อให้คสช.ของท่านนายกฯลุงตู่ผู้ทรงอำนาจช่วยเป็นตัวดันในเรื่องการนำประเทศไทยให้พ้นกับดักแห่งหายนะกำลังจะงวดภาระหน้าที่ลง เลยรับปากหลายใครมาว่าจะเป็นตัวกลางเพื่อบอกกล่าวว่า อย่าไปสมาทานทุนนิยมเต็มรูปแต่อย่างเดียวเลย เลือกรับเอามาเป็นเรื่องๆที่สอดคล้องกับบ้านเราเมืองเราเถิด ที่เป็นเสรีสามานย์ขัดกับทางแห่งศาสนธรรมทั้งหลาย หรือเป็นที่มาที่ตั้งของความประมาทนั้นอย่าได้รับมาเลย และคาถากำกับในเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อนำไปสู่ความเสมอภาคสงบเย็นยั่งยืนของสังคมไทยนั้นมีอยู่แล้ว นั่นคือระบบเศรษฐกิจพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่เรียกว่า “ระบบเศรษฐกิจพอเพียง” นั่นไง เห็นนายกฯ ลุงตู่เองก็พูดถึง “ศาสตร์พระราชา” อยู่แทบจะทุกวันนี่นา ! เพื่อเตือนใจชาวสภาปฏิรูปฯเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาฝากกลอนมาให้อ่านเตือนใจบทหนึ่ง เป็นกลอนชื่อ “เศรษฐกิจพอเพียงเดี้ยงแล้วหรือ” ที่นายอินถา ร้องวัวแดง เขียนไว้แต่เมื่อปี 2557 โน่นแล้วลองอ่านกันดูนะ!! “เสี่ยงสารถึงผู้ใหญ่ในสยาม/ที่มีหัวใจ “ไทย” และใจงาม/ที่มุ่งเทิดเดินตามเส้นทางธรรม/หกทศวรรษพ้นผ่านบ้านเมืองนี้/เหมือนถูกมือยักษ์ขยี้เขมือบขย้ำ/ทุนนิยมต่ำข้าสาริยำ/ทั้งกอบโกยก่อกรรมและดูดกิน/สังคมเคยสมบูรณ์เคยพูนสุข/กลับหมองหม่นกล่นทุกข์เกลื่อนหนี้สิน/คนจนเพิ่มเนืองแน่นเต็มแผ่นดิน/ประชาชาติสูญสิ้นสามัคคี/ทรัพยากรทั้งผองพร่องและสูญ/เหล่าคนดีอาดูรซ่อนหน้าหนี/ดังว่าทั้งแผ่นดินสิ้นคนดี/ปล่อยกาลีปอบกระหังขึ้นนั่งเมือง/รับ'ทุน'มาก็ได้ไม่ใครว่า/แต่ควรเลือกรับมาเป็นเรื่องๆ/ใช่รับแต่สามานย์ ด้านสิ้นเปลือง/อย่างที่เห็นเนืองๆว่าเน่าใน/ “เศรษฐกิจพอเพียง” เดี้ยงแล้วหรือ?/รับสนองฯเพียงชื่อมันใช่ไหม?/หรือกลัวเหล่าไพร่ฟ้าประชาไทย/จะเลิกส่งกำไรให้นายทุน?/เศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงตัวได้/คือทางสายกินอิ่มและนอนอุ่น/ก่อสังคมเมตตา-รัก-การุณ/ตามแนวทางพุทธคุณที่มั่นคง/ละลดเลิกกองกิเลสที่โลดเถลิง/ที่เร้ารุมสุมเพลิงแห่งความหลง/นำทิศไทยพัฒนาสู่ป่าพง/สวนทางธรรมแห่งพุทธองค์ที่ทรงเตือน..”. และนี่คือบทจบ ขอเน้นให้อ่านให้ฟังกันเป็นพิเศษ ปฏิรูปคราวนี้ที่จะเกิด                     ขอร้องเถิดช่วยกำกับให้ขับเคลื่อน-                     “คำพ่อสอน”, เพียงผู้ใหญ่ไม่ลืมเลือน                       “ความยั่งยืน” จะสะเทือนทั้งเมืองไทย !!ฯ