เกิดเป็น "เรื่องใหญ่" ที่ทำเอา "ช็อค"กันถ้วนหน้า เมื่อ "ขุนคลังป้ายแดง" อย่าง "ปรีดี ดาวฉาย" ได้ตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง" ต่อ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ "หัวหน้ารัฐบาล" เมื่อวันที่1 ก.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งที่ปรีดี เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา และได้เข้าเฝ้าถวายสัตย์ ฯ เมื่อวันที่ 12 ส.ค.นั่นหมายความว่า รวมแล้วปรีดี นั่งอยู่ในเก้าอี้ "ขุนคลัง"ได้เพียง 20 กว่าวันเท่านั้น
และในหนังสือลาออก ของปรีดี เขาเองให้เหตุผลเรื่องปัญหาทางสุขภาพ แต่ลึกๆแล้วหลายคนต่างรู้ดีว่า แท้จริงแล้วมาจากความขัดแย้ง กับ "รมช.คลัง" อย่าง "สันติ พร้อมพัฒน์" ในฐานะผู้อำนวนการพรรคพลังประชารัฐ
ปัญหาร้าวลึกระหว่าง สันติ กับ ปรีดี อันสืบเนื่องมาจากการแต่งตั้งโยกย้ายคนในกระทรวงการคลัง ได้บานปลาย ลุกลาม จนถึงขั้นอยู่ร่วมกันไม่ได้
ยิ่งเมื่อคนหนึ่ง คือผู้ที่ เลือกโดย พล.อ.ประยุทธ์ ที่หมายมั่นปั้นมือจะดึง "คนนอก" ที่มีฝีไม้ลายมือเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในห้วงที่ประเทศเข้าสู่โหมดที่ต้องฟื้นฟูและเยียวยา จาก "พิษโควิด"
ขณะที่อีกคนหนึ่ง มาจากโควต้าของพรรคพลังประชารัฐ และเคยหมายมั่นที่จะได้นั่งเก้าอี้ ขุนคลังแทน เมื่อไม่มี "อุตตม สาวนายน"
อย่างไรก็ดี ณ เวลานี้ คนที่ปวดเศียรเวียนเกล้า มากที่สุด คงไม่พ้น "2 ป."ทั้ง "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องโดดลงมาเคลียร์ ทั้งสันติ และกลุ่มการเมืองในพรรค
เช่นเดียวกับ ป.ประยุทธ์ ในฐานะที่เป็นคนไปเชื้อเชิญ ปรีดี ให้เข้ามาช่วยทำงาน จะแก้ไขปัญหาครั้งนี้อย่างไร แม้ล่าสุด นายกฯยังคง "ยื้อ" ไม่อนุมัติหนังสือลาออกของปรีดีก ก็ตาม
อย่าลืมว่าการลาออกของปรีดี ขุนคลังป้ายแดง ครั้งนี้กำลังแสดงและสะท้อนให้เห็นถึง "ปัญหาภายใน"ที่แจ่มชัดมากขึ้น ทั้งที่ "ทีมเศรษฐกิจ" น่าจะเป็น "ความหวัง" พลิกฟื้นความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลได้ดีที่สุด ในขณะที่การเมือง ทั้งในและนอกสภาฯต่างรุมเร้ารัฐบาลอย่างหนักหน่วง
การออกลาของขุนคลัง ทั้งที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียงไม่นาน กำลังกลายเป็น "คำถาม" ที่บีบให้ หัวหน้ารัฐบาลอย่างพล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาให้ "คำตอบ" ว่าเกิดอะไรขึ้น ในรัฐบาลแล้ว อีกทางหนึ่งยังเป็นเหมือนการทิ้งระเบิดเข้าใส่รัฐบาล ที่จะกระทบต่อ "ภาพลักษณ์" และ "ความเชื่อมั่น" อย่างชนิดที่เรียกว่า "ช่วยไม่ได้ !"
นาทีนี้ ปัญหาภายใน ของรัฐบาลเองได้กลายเป็น "โจทย์ข้อยาก" ที่กดดัน พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้น และที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ ทั้ง "2ป." ทั้งป.ประวิตร และ ป.ประยุทธ์ จะใช้วิถีแห่งการเมือง แก้ไขสถานการณ์ ยื้อปรีดี ให้ทำงานร่วมกันต่อไปได้หรือไม่
เพราะอย่าลืมว่าปรีดี คือ คนนอกที่มาจากภาคเอกชน มีความแตกต่างไปจาก "นักการเมือง" ที่มีดีเอ็นเอ พิเศษ ทนได้กับทุกแรงเสียดทาน แต่สำหรับนักธุรกิจแล้วอาจไม่ใช่ !
การยื้อยุดเพื่อฉุดเอา ปรีดี ให้เปลี่ยนใจ กำลังกลายเป็น เรื่องที่ไม่ง่ายดาย ไม่เหมือนกับการอยู่ร่วมกับ นักการเมืองที่อาจจะดูวุ่นวาย ปั่นป่วน แต่ที่สุดก็สงบลงได้ ด้วยเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ไม่อาจปฏิเสธ!