ดร.วิชัย พยัคฆโส
[email protected]
รัฐบาลทุ่มงบประมาณโครงการต่างๆใน 3 จังหวัด ระยอง ฉะเชิงเทรา และชลบุรี นับแสนล้านเพื่อสร้างความเจริญและมั่งคั่งในภาคตะวันออกแห่งอนาคต แต่ในช่วงเวลานี้รัฐต้องลุ้นกวาดบ้านตัวเองด้วยโครงการที่คาราคาซังอยู่
1.การจ้างงาน 1 ล้านตำแหน่งแบบเร่งด่วน ได้ข่าวว่าคุณสุพัฒน์พงษ์ ได้มีแนวคิดในการอบรมแก่เด็กรุ่นใหม่ในโครงการพลังงานส่วนหนึ่ง การจ้างงานโดยจ่ายค่าจ้างงาน 50% ต่อเดือนแก่ภาคเอกชนที่ริเริ่มโครงการ กับทั้งลดภาษีรายได้ 3 เท่าอีกทาง ส่วนภาคเอกชนขอให้กระทรวงแรงานช่วยคิดทำการจ้างงานแบบ part-time โดยเฉพาะกลุ่มเครือโลตัสได้ยื่นเสนอจะจ้างงานได้หมื่นตำแหน่ง และเอกชนรายใหญ่อื่นๆจะตามมาเอง ล้วนเป็นโครงการที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้สูง ต่อการจ้างงานให้ได้ล้านคนใน 3-4 เดือนนี้
2.หนี้สินที่กำลังจะเป็น NPL อีก 1.2 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ขนาดย่อมจะต้องมีแผนช่วยเหลือโดยมีกองทุนมาสนับสนุนอย่างน้อย 1 แสนล้านบาท และได้ขยายเวลาออกไปอีก 2-3 ปี เพื่อให้ฟื้นตัว คงไม่ง่ายดังคิด แต่ก็นับว่าเป็นการแก้ปัญหาหนักเรื่องนี้ได้บ้าง
3. ธุรกิจท่องเที่ยวตั้งเป้าหมายไว้ 1.23 ล้านล้านบาทในปีนี้โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเอาภูเก็ตมาเป็นต้นแบบในการกักตัวเพื่อไปเที่ยวในจังหวัดอื่นๆในปีนี้ แม้ว่าจะลดจาก 3.3 ล้านล้านบาทก็ยังพอมีความหวังในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวมิให้ตกต่ำลงไปกว่านี้อีก ซึ่งนอกเหนือจากเราไปเที่ยวด้วยกันในการเพิ่มการพักโรงแรมเป็น 10 วันและเพิ่มค่าเดินทางเครื่องบินอีกคนละ 1,000 บาทแล้ว เรื่องนี้คงยากสักหน่อย แต่เป็นแนวคิดที่จะสร้างธุรกิจท่องเที่ยวมิให้ตกต่ำลงไปกว่านี้อีก
4. ทักษะงานแห่งอนาคตใน EEC ซึ่งได้มีการประเมินความต้องการไว้แล้ว ทั้งสถาบันการศึกษาและกระทรวงแรงงานคงต้องระดมอบรมทักษะทั้ง 7 เรื่อง ให้แก่ทั้งบัฯฑิตใหม่และแรงงานให้มีทักษะรองรับกับงานได้อีกอย่างน้อย 4 แสนตำแหน่ง เช่น
1) การท่องเที่ยว 16,920 คน
2) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 37,626 คน
3) อุตสาหกรรมดิจิทัล 116,222 คน
4) อุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิกส์อัจฉริยะ 56,228 คน
5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร 11,538 คน
6) อุตสาหกรรมพาณิชย์นาวี 14,630 คน
7) อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต 53,738 คน
8) อุตสาหกรรมระบบราง 24,246 คน
9) โลจิสติกส์ 109,916 คน
10) อุตสาหกรรมการบิน 32,836 คน
ทั้ง 3-4 เรื่องที่กำลังเป็นปัญหาอยู่นี้ ทั้งเรื่องของคนว่างงานและเรื่องของหนี้สิน SMEs หากปรับแก้ได้อย่างน้อยสัก 50% ของแนวทางดังกล่าว น่าจะช่วยเป็นพื้นฐานในการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่มีภาระหนักอยู่ในขณะนี้
แม้ว่างบประมาณซื้อเรือดำน้ำจะถูกฝ่ายค้านหรือแม้แต่ฝ่ายรัฐบาล คือประชาธิปัตย์คัดค้านก็ตาม แต่ยุทธศาสตร์เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องคำนึงถึง รวมทั้งปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ ก็กำลังเริ่มต้นจะเป็นรูปธรรมแล้ว คงผ่านพ้นวิกฤตการเมืองไม่ได้
การสร้างความเข้าใจเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำและการสร้างความเข้าใจกับบรรดานิสิต-นักศึกษา-นักเรียน ให้หยุดการเคลื่อนไหวได้ จึงเป็นอานิสงส์กับประเทศที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าได้