สปอตไลต์ฉายจับประเทศไทย หลังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หลังมีคำสั่งให้เฟซบุ๊กบล็อกการเข้าถึงเพจ “รอยัลลิสต์มาเก็ตเพลส” เพจที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีการความเคลื่อนไหวกดดันวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลปล่อยให้เพจบ่อนทำลายสถาบันลอยนวล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า การดำเนินการในเรื่องของเพจต่างๆเหล่านี้ เป็นเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายไทยทั้งสิ้น แล้วก็ไม่เคยใช้อำนาจ ที่เรียกว่า “เผด็จการ” ซึ่งตนไม่มีแล้ว เป็นการขอคำสั่งศาลในทุกตัว เพราะฉะนั้นคิดว่าในทางกฎหมาย เราสามารถที่จะยืนยันได้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายไทย และการปิดเพจอะไรไปก็แล้วแต่ เป็นการขอความร่วมมือและเป็นไปตามคำสั่งศาลทั้งสิ้น หากมีการฟ้องร้องดังกล่าวเราก็ต้องใช้กฎหมายไทยไปสู้ในทางกฎหมายของเรา และถึงแม้ในทางกฎหมายจะมีสิทธิเสรีภาพแต่ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายของไทย เหมือนกับที่เราไม่เคยไปผิดกฎหมายของประเทศอื่นเช่นกัน เรื่องนี้เราต้องมอง 2 ทางเสมอ “ผมอยากจะบอกและจำเป็นต้องเอ่ยชื่อไม่ว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ทั้งหมดก็มาจากเพจกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า royalist marketplace ซึ่งก็รู้ว่าใครเป็นผู้ขับเคลื่อนเพจดังกล่าว ก็คือ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ซึ่งคนเหล่านี้ทุกคนรู้อยู่ว่าเป็นอย่างไร แล้ววันนี้อยู่ที่ไหน แล้วเขารับผิดชอบความเสียหายกับประเทศชาติของเราหรือเปล่า นี่คือสิ่งสำคัญคนไทยที่เหลือต้องเข้าใจตรงนี้ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย เขาทั้งสองคนไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น แต่คนที่เดือดร้อนที่สุดคือ ประเทศไทย” ขณะที่ปฏิกิริยาของเฟซบุ๊ก ได้ออกแถลงการณ์ ชี้แจงว่า ได้พิจารณาอย่างระมัดระวังและถี่ถ้วนแล้ว จึงตัดสินใจที่จะจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาที่ทางรัฐบาลไทยระบุว่าเป็นเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องจากรัฐบาลเช่นครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่รุนแรง และขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล และยังส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออก การดำเนินงานของเฟซบุ๊ก มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องและรักษาไว้ซึ่งสิทธิต่างๆ ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทุกคน และขณะนี้เรากำลังเตรียมความพร้อมเพื่อโต้แย้งในข้อกฎหมายต่อข้อเรียกร้องครั้งนี้ “การแทรกแซงที่เกินขอบเขตของรัฐบาลเช่นในกรณีนี้ยังถือเป็นการบั่นทอนความสามารถของเฟซบุ๊ก ในการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ตลอดถึงการดำเนินงานของสำนักงานในประเทศไทย การคุ้มครองดูแลพนักงานของบริษัทฯ และการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนโดยตรงต่อธุรกิจต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก” อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่กรณีแรกที่เฟซบุ๊กมีความคัดแย้งกับรัฐบาลประเทศต่างๆ และถูกแบนในหลายประเทศ เช่น จีน อิหร่าน ซีเรีย หรือ เกาหลีเหนือ ขณะที่เฟซบุ๊กเองกำลังถูกตรวจสอบ หลังปล่อยให้นักการเมืองคนหนึ่งยังคงสามารถใช้งานเฟซบุ๊ก เผยแพร่ข้อความที่เข้าข่ายละเมิดกฎของเฟซบุ๊กว่าด้วยเรื่องข้อความที่ยุยงและสร้างเกลียดชังในอินเดีย ด้าน พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส ระบุว่า ตนดำเนินการตามคำสั่งศาลกับทุกแพลตฟอร์ม ไม่ใช่แต่เฉพาะเฟซบุ๊ก ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เขาก็ลบให้ ทั้งนี้ ของเดิมมีข้อความที่หมิ่นเหม่ในเฟซบุ๊ก 1,120 ยูอาร์แอล เขาก็ทยอยลบให้ เช่นเดียวกับกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่งของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำ สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นข่าว เมื่อวันที่ 24 ส.ค. เฟซบุ๊กก็ลบให้เนื่องจากมีคำสั่งศาล ระบุไปว่ามีความผิด เมื่อมีการลบไป เราก็ไม่ดำเนินคดีเพราะเขาให้ความร่วมมือ ดังนั้นเรื่องนี้ เราเห็นว่า เฟซบุ๊กมีนโยบายในการช่วยให้คนเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง ลดข่าวปลอมและข่าวที่เป็นอันตรายต่อชุมชน ดังนั้นเราเชื่อว่าเมื่อรัฐบาลไทยชี้ให้เห็นว่าเพจดังกล่าวมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง สร้างอันตราย และความแตกแยกให้กับชุมชนอย่างไร ตามนโยบายของเฟซบุ๊กเองก็ควรดำเนินการเช่นนั้น นอกจากจะปกป้องการละเมิดสิทธิของผู้ใช้บริการเฟซบุ๊กแล้ว ก็ควรจะป้องกันไม่ให้ใช้เฟซบุ๊กไปละเมิดสิทธิผู้อื่นด้วย ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ควรถูกข้อมูลอันเป็นเท็จโจมตี และสร้างความเกลียดชัง