หลังจากงดให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไปนานกว่า 2 สัปดาห์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในหลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือความคืบหน้าในการดำเนินคดีเหตุวางระเบิดภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ โดยระบุว่า ได้เป้าหมายแล้ว แต่ไม่สามารถพูดได้ อย่างไรก็ตาม เหตุวางระเบิดไปป์บอมบ์กลางกรุงรวม 3 ครั้ง ขณะนี้ยังไม่สามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ ทำให้งานด้านความมั่นคง อันเป็น “จุดแข็ง” ของคสช.ถูกบั่นทอน เพราะต้องไม่ลืมว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนยังเชื่อมั่นใน คสช. คือการรักษาความสงบเรียบร้อย เมื่อมีเหตุระเบิดเกิดขึ้น ย่อมดิสเครดิต คสช. เหลือเพียงไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุมออกมาเดินบนท้องถนนเท่านั้น ที่ยังสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจประชาชนไว้กับคสช.ได้ แม้จะมีบทวิเคราะห์ว่า เป็นไปได้ยากสำหรับรัฐบาลทหาร ที่จะเผชิญกับการชุมนุมประท้วง โดยเฉพาะการมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามมาตรา 44 การนัดชุมนุมประท้วงจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ปัญหาราคายางพาราตกต่ำที่เริ่มก่อหวอดความไม่พอใจของกลุ่มเกษตรกรกันขึ้นมานั้น อาจมีพัฒนาการไปในทางที่เป็นลบซ้ำเติมคสช. จึงไม่แปลกใจที่นายกรัฐมนตรี จะออกมาดักคอกลุ่มที่เตรียมเคลื่อนไหวขับไล่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “2-3 วันนี้ราคายางก็ดีขึ้น อยากขอร้อง ชาวสวนยางที่จะขึ้นมาเคลื่อนไหว ขออย่าเคลื่อนไหวกับผมเลย เพราะว่ารัฐบาลก็พยายามแก้ปัญหา ราคายางก็เหมือนข้าว มีช่วงสูงขึ้นและลดลง” ขณะที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 13 มิ.ย.ได้อนุมัติมาตรการช่วยเหลือออกมา 4 แนวทาง โดยตั้งเป้าหมายผลักดันราคายางให้ได้ 70 บาทต่อกิโลกรัม อย่างไรก็ตาม แม้จะแก้ปัญหาราคายางพาราได้ ก็ย่อมจะมีปมปัญหาใหม่ๆเข้ามาทดสอบและลองของคสช.อีกมากในอนาคตข้างหน้า ยิ่งขยับใกล้ช่วงเวลาปลดล็อกการเมืองมากขึ้นเท่าไหร่ ปมปัญหาต่างๆก็จะยิ่งขยับเข้ามาท้าทายมากขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญหากปล่อยให้ปัญหาบานปลาย กลายเป็นการชุมนุมประท้วงปิดถนนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายหล่นบนหลังอูฐ