จากการเคลื่อนไหวของ "กลุ่มเยาวชนปลดแอก" และแนวร่วม ที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการจัดกิจกรรมชุมนุมขับไล่รัฐบาล เมื่อค่ำคืนวันที่ 16 ส.ค.63 โดยใช้พื้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน เป็นจุดนัดหมาย มีนักศึกษา เยาวชน และประชาชนมาเข้าร่วมจำนวนหลายพันคน
กลายเป็นการชุมนุมทางการเมืองที่มีเอฟเฟกซ์ อย่างมาก นับตั้งแต่ภายหลังคสช. ยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2557 เป็นต้นมาก็ว่าได้
ด้วยบริบทการเมืองที่แปรเปลี่ยนไป วันนี้จึงได้เห็นว่า "แกนนำการชุมนุม" คือ เยาวชน และนักศึกษา ส่วน "นักการเมือง" คือ "ตัวประกอบ" ที่ต้องพาตัวเองเข้ามาร่วมขบวนเพื่อโหนกระแส "คนรุ่นใหม่" เท่านั้น และด้วยเหตุที่มี "ศัตรูคนเดียวกัน" คือ "รัฐบาล" ที่มาจากภาคต่อของ คสช. ภายใต้การนำของ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ครั้งนี้มีความชัดเจนมากขึ้นว่า แกนนำและ "ผู้กำกับบท" ที่อยู่เบื้องหลัง พยายามชู "3 ข้อเรียกร้อง" คือ 1.ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ 2. ให้ยุบสภาฯ และ 3.รัฐหยุดคุกคามประชาชน
ดังนั้น แกนนำนักศึกษาอย่าง "เพนกวิน" พริษฐ์ ชาวารักษ์ "รุ้ง"ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ "ไมค์ ระยอง" จารุพงศ์ จาดนอก 3 แกนนำที่เคยโยน "10 ข้อเสนอ" ที่พาดพิงและกระทบต่อ "สถาบันเบื้องสูง" ในเวทีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชน "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" เมื่อวันที่ 10 ส.ค. จึงไม่ได้รับเชิญให้ขึ้นเวทีร่วมการปราศรัย ในรอบนี้
เพราะทั้งกลุ่มเยาวชนปลดแอก ตลอดจน ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เชื่อมโยงกับการชุมนุม รู้ดีว่า เมื่อไหร่ที่เข้าไปแตะเรื่อง "สถาบัน" อย่างจงใจ และรุนแรง โอกาสที่จะเป็น "พ่ายแพ้" เสียแนวร่วม จะยิ่งมีสูง!
แต่สิ่งที่กำลังกลายเป็นเอฟเฟกซ์ เกิดเป็น "ภาคต่อ" ของการชุมนุมเคลื่อนไหวกลุ่มนักศึกษา คือปฏิกริยาจากเด็กนักเรียนระดับมัธยม ที่แสดงสัญลักษณ์ ชูสามนิ้ว ในหลายโรงเรียน ภายในวันเดียวกันเมื่อวันที่ 17 ส.ค. จนเกิดปัญหา และความขัดแย้งตามมาระหว่างเด็กนักเรียนกับอาจารย์
แน่นอนว่าสำหรับ "ฝ่ายขับไล่รัฐบาล" แล้วย่อมต้องมองปรากฎการณ์ ต่อต้านรัฐบาลด้วยการชูสามนิ้ว ด้วยความพึงพอใจ เพราะนี่คือหนึ่งในกลยุทธ์ "ขยายแนวร่วม" ให้เกิดเป็น "ดาวกระจาย" ออกไปตามสถานศึกษาทั่วประเทศ คู่ขนานไปกับการจัดกิจกรรมชุมนุมเคลื่อนไหวของ "แกนนำนักศึกษา" ที่จัดแฟลชม็อบตามจุดต่างๆทั้งในกทม.และตามจังหวัดใหญ่ๆ
แต่สำหรับ "รัฐบาล" แล้วด้านหนึ่งคือการเห็นภาพสะท้อนว่า "ฝั่งตรงข้าม" กำลังใช้ "อาวุธ" ที่มีความเปราะบางแต่แหลมคม ที่สุดคือนักเรียน นักศึกษา ให้ออกมาอยู่ "ด่านหน้า" กดดันขับไล่รัฐบาล ไปพร้อมๆกับการสอดแทรกแนวคิดปฏิรูปสถาบัน จงใจก้าวล่วงศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งประเทศ
แต่เมื่อด่านหน้าคือ "เยาวชน" จึงไม่มีทางที่รัฐ หรือกองทัพ จะใช้ "กำลัง" เข้ากระชับพื้นที่อย่างเด็ดขาด เพราะรัฐบาลจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทันที
ทว่าน่าสนใจว่า ทุกการจัดกิจกรรม ทุกความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาที่สร้างผลกระทบจนทำให้ "นักการเมือง" และ "ขบวนการล้มสถาบัน" ต้องโดดลงมา โหนกระแสร่วมขบวนครั้งนี้ จะสามารถ "ยืนระยะ" ได้มากน้อยแค่ไหน
แต่อย่าลืมว่า เป้าหมายของ กลุ่มเยาวชนปลดแอกคือการรบกับ รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์
แต่รัฐบาลและกองทัพ กลับเพ่งมองไปที่ "คนที่อยู่เบื้องหลัง" ทุกความเชื่อมโยง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าเหตุใดการจัดกิจกรรมการชุมนุม ทั้งที่ผ่านมา และจากนี้ที่จะเกิดขึ้นต่อไป จึงดำเนินไปด้วยความง่ายดาย ไม่มีการขัดขวางจนผิดสังเกต
ยุทธการเด็ดปีก "แกนนำนักศึกษา" และ "นักการเมือง" ตลอดจน "ขบวนการล้มสถาบัน" ได้เริ่มนับหนึ่งและดำเนินการด้วย "กฎหมาย" มาอย่างเงียบๆ แล้วต่างหาก !