จุดยืนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อกรณีสั่งไม่ฟ้องข้อหาสำคัญกับนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ในดคีขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต นั้นเป็นท่าทีแหลมคมอย่างยิ่ง เพราะกรณีดังกล่าวหากวางบทบาทของตนเองให้ชัดเจน และเดินหน้าไปบนความถูกต้อง ย่อมเรียกความเชื่อมั่นศรัทธากลับคืนมาได้ การวางตำแหน่งของพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะกำกับดูแลตำรวจ จึงต้องลงมาตรวจสอบในเรื่องนี้ ถือว่าถูกที่ถูกทาง โดยพล.อ.ประยุทธ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ Bangkok Post Forum 2020 : "พลิกฟื้นประเทศไทย: ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง" ตอนหนึ่งระบุว่า “... เรื่องที่กำลังเป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจคือเรื่องบอส กระทิงแดง กรณีนี้แสดงให้เราเห็นได้ชัดเจนถึงความสำคัญของสื่อที่มีต่อสังคมไทย และนั่นคือเหตุผลที่ตนเชื่อว่าในประเทศไทยสื่อต้องมีความเป็นอิสระและมีความแข็งแรง ต้องมีจรรยาบรรณ สื่อคือ ฐานันดรที่ 4 ต้องมีหลายๆ อย่าง ต้องวางตัวเป็นกลาง เสนอข่าวที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เรื่องนี้ท้าทายระบบยุติธรรมและระบบกฎหมาย และกระทบต่อความไว้วาง ใจของประชาชนที่มีต่อระบบรัฐทั้งหมด ผมจึงขอแสดงจุดยืนของผมในเรื่อง บอส กระทิงแดง ว่าผมไม่โอเคกับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ผมต้องการให้มีความโปร่ง ใส ผมจะผลักดัน และผมจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ผมพร้อมที่จะดำเนินการ หลังจากเห็นข้อสรุปของคณะกรรมการที่ผมตั้งขึ้น ซึ่งมีความเป็นอิสระและประกอบไปด้วยผู้ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม ทั้งในเรื่องความรู้และความเป็นกลาง และพร้อมที่จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และกฎหมายที่มีอยู่ นี่ถือเป็นคดีอีกหลายแสนหลายล้านคดีในประเทศไทย เป็นคดีที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะไม่ต้องการให้ทุกอย่างสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อไป” ขณะที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน เดินหน้าทำการตรวจสอบกรณีที่เกิดขึ้น ตามกรอบเวลา 30 วัน โดยนายวิชา ได้กล่าวในเวทีเสวนาวิชาการเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม” ตอนหนึ่งว่า “ตราบใดที่ความยุติธรรมซื้อได้ จะไม่สามารถจัดการเรื่องทุจริตคอรัปชั่นไม่ได้เลย ดังนั้นจึงต้องจัดการให้ความยุติธรรมปราศจากการซื้อได้ด้วยเงิน ถึงจะดำเนินกระบวนการอย่างอื่นให้สำเร็จลุลวงไปได้ กรณีนายวรยุทธ เป็นแบบที่แสดงให้เห็นว่าความเลื่อมล้ำ และความไม่ยุติธรรมยังคงอยู่ ที่เห็นได้ชัดคือความล่าช้าในการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรม ไม่มีชาติไหนที่ดำเนินการในคดีที่นานกว่า 8 ปีแบบนี้ อย่างไรก็ตามถ้าให้ความยุติธรรมล่าช้าเท่าไหร่ก็จะมีกระบวนการแทรกแซงได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ ดังนั้นความเลื่อมล้ำสามารถแก้ได้ด้วยมนุษย์ที่เป็นส่วนสำคัญ ไม่มีอะไรดีกว่าการที่จะต้องพัฒนามนุษย์ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมให้ถึงแก่นยกเครื่องใหม่ ระบบแม้มีความผิดพลาด ไม่บูรณาการ ต่างคนต่างทำ แต่การแก้ที่ตัวบุคคลบคือสิ่งที่จำเป็นที่สุด และต้องได้คนดีที่สุดมาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม อย่าเอาคนเหลือเลือกเข้ามาอยู่ในกระบวนการนี้ เพราะจะทำให้ราษฎร์เดือดร้อน สิ้นหวัง และจะจบลงที่ความเสื่อมสุดของการปกครอง” ทั้งนี้ทั้งนั้น สังคมจับตาทั้งผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ที่มีนายวิชา เป็นประธานว่าจะออกมาอย่างไร และเมื่อผลสอบส่งถึงมือของพล.อ.ประยุทธ์แล้ว จะมีการดำเนินการอย่างไร โดยไม่มีการลูบหน้าปะจมูก