ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (ศบค.) เตรียมผ่อนคลายมาตรการ สถานศึกษา หลังจากโรงเรียนได้เปิดการเรียนการสอนมาเป็นระยะเวลาร่วม 1 เดือนที่ผ่านมาพบว่ายังไม่มีการติดเชื้อในสถานศึกษา
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. กล่าวว่า ศบค.ชุดเล็กมอบหมายให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกันประเมินรายงานสถานการณ์ มีข้อมูลว่าเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อที่ค่อนข้างต่ำ และรายงานในประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสมในกลุ่มนี้ร้อยละ 1-6 แบ่งกลุ่ม 0-9 ปี 62 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.9 และกลุ่มอายุ 10-19 ปี 126 ราย คิดร้อยละ 3.87
ทั้งนี้การที่ยังไม่มีการรายงานติดเชื้อ เป็นกลุ่มก้อนในกลุ่มเด็กนักเรียนนั้น นักวิชาการให้ข้อสังเกตว่า สาเหตุที่เด็กติดเชื้อน้อยกว่าเพราะตัวรับเชื้อในโพรงจมูกของเด็ก น้อยกว่าผู้ใหญ่แต่สามารถเป็นพาหะนำเชื้อเข้าในบ้านได้ โดยผู้ใหญ่มีตัวรับเชื้อที่มากกว่า อาจมีการติดเชื้อได้ง่ายกว่า จึงมีการตั้งโจทย์ว่าจะมีมาตรการผ่อนคลาย ในส่วนนี้เร็วขึ้นได้หรือไม่ โดยตอนนี้มีโรงเรียน 4,528 แห่ง ที่จะต้องใช้วิธีสลับเวลาเรียนเนื่องจากโรงเรียนมีขนาดเล็ก ไม่เพียงพอต่อการจัดห้องเรียน มีผลกระทบหลายด้าน อาทิ การเรียนรู้ของเด็กถดถอยลง ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงทรัพยากร การโภชนาการ เป็นต้น
โฆษก ศบค. กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ ต้องหารือร่วมกันเพื่อหาทางผ่อนคลายให้เด็กได้กลับไปเรียนตามปกติ โดยจะต้องมีมาตรการเสริมที่เข้มขึ้น อาทิ การจัดห้องเรียนให้มีระยะห่างกันเท่าที่จะทำได้ ห้องเรียนที่ติดเครื่องปรับอากาศต้องมีการเปิดประตูและหน้าต่าง ในช่วงที่ไม่มีการใช้ห้องเรียน การให้คณะกรรมการโรค ติดต่อระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ต้องเข้าไปดูแลเด็กกำกับดูแลโรงเรียนเป็นลำดับขั้น นอกจากนี้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจประเมินและติดตามภายหลังการเปิดภาคเรียน และแนวปฏิบัติของสถานการณ์ความเสี่ยงของการติดโรค ในมาตรการผ่อนคลายของสถานศึกษา พบว่าสถานศึกษา 25,140 แห่ง มีมาตรการความปลอดภัยการลดการแพร่เชื้อโรคสูงถึงร้อยละ 99.47 แต่มี 132 แห่งที่ยังปฏิบัติไม่ครบ และได้รับคำชี้แนะเพื่อปรับปรุงแล้ว
โฆษกศบค. กล่าวว่า รายงานการป่วยของเด็กจากทุกแห่งพบว่าเด็ก 687 ราย ป่วยเป็นไข้หวัด ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจไม่ได้กลิ่น หายใจหอบ แต่ไม่ใช่การติดเชื้อ โควิด-19 ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยเพราะสวมหน้ากากอนามัย ทำให้เด็กป่วยน้อยลง ส่วนรายงานแผนรองรับพบว่าร้อยละ 96.25 มีแผนรองรับ แต่ร้อยละ 3.75 ไม่มีแผนรองรับ จึงจำเป็นต้องให้โรงเรียนมีแผนรองรับหรือแผนเผชิญเหตุ หากเกิดกรณีพบเด็กติดเชื้อโควิด-19 แล้วจะดำเนินการปิดสถานศึกษาอย่างไร อาทิ ปิดโรงเรียน ปิดชั้นเรียน หรือปิดเฉพาะห้องเรียน
เราเห็นด้วยกับการผ่อนคลายให้สถานศึกษากลับมาสู่ภาวะปกติ แม้จะเป็นความปกติใหม่ที่ยังเป็นไปตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ทั้งนี้เพื่อประโยชน์การศึกษาของเด็กไทย และการพัฒนาทักษะทางด้านต่างๆ จึงจำเป็นต้องเปิดให้เด็กกลับเข้าสู่ระบบการเรียนตามปกติ ทั้งนี้สถานศึกษา ผู้เกี่ยวข้อง ผู้ปกครอง รวมทั้งเด็กต้องการ์ดสูง ไม่ให้ซ้ำรอยบทเรียนทหารอียิปต์และลูกทูตซูดาน
ด้วยสถานการณ์จากนี้ จะเข้าสู่ความเสี่ยงอีกขั้น ในการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 6 หรือ เฟส 6 ที่อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ การจัดแสดงสินค้า เปิดให้กองถ่ายภาพยนตร์ในประเทศและต่างประเทศเข้ามา รวมทั้งนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่มีพันธกรณีการท่องเที่ยวระหว่างกัน