สถานการณ์ที่กำลังฉุดให้ ทั้ง “รัฐบาล”และตัว “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องเผชิญกับวิกฤติศรัทธา ครั้งใหญ่ ยามนี้คงหนีไม่พ้นประเด็นที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง จากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการขับรถชนตำรวจจนเสียชีวิต เมื่อปี 2555 เข้าอย่างจัง แม้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ เองปฏิเสธแสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 ก.ค. เมื่อถูกสื่อรุมซัก ว่า “ขอไม่ตอบ เนื่องจากวันนี้เป็นวันมงคล” ก็ตาม แต่ใช่ว่ารัฐบาล และพล.อ.ประยุทธ์ จะ “ลอยตัว” จากปัญหาที่เกิดขึ้น และแม้นายกฯจะยืนยันผ่าน “โฆษกรัฐบาล” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ก่อนหน้านี้ว่า นายกฯไม่มีอำนาจไปแทรกแซง สั่งการใครก็ตาม แต่เมื่อเวลานี้ กระบวนการยุติธรรม กำลังถูกสั่นคลอน ความคาดหวังจากผู้คนในสังคมจึงฝากความหวังว่า “ผู้นำฝ่ายบริหาร” คือพล.อ.ประยุทธ์ สั่งการ ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง โดยที่ไม่ใช่มีบทสรุปชนิดที่เรียกว่า “ค้านสายตาคนดู” อย่างรุนแรง ด้วยการ เปิดทางให้ “จำเลย” คือ บอส วรยุทธ ไร้ความผิด ทั้งที่ขับรถชน “ดาบประสิทธิ์” เสียชีวิต ก่อนหน้านี้หลายคนต่างพากันเป็นห่วงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะรับมือกับการชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิต นักศึกษา พากันออกมาจัดกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลพร้อมยื่นเงื่อนไข ให้ยุบสภาฯ ,ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และ หยุดคุกคามประชาชนที่เห็นต่าง เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งที่ออกมาร่วมกิจกรรมขับไล่รัฐบาล ไปจนถึงให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง กลายเป็น “แรงเสียดทาน” ที่พุ่งเข้าใส่รัฐบาล อย่างต่อเนื่อง ยิ่งเมื่อกลุ่มนักศึกษา ที่ออกมาเคลื่อนไหว ยังหยิบยก การบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2548 ว่าเป็นการจงใจใช้กฎหมายคุมม็อบ โดยเอา เรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 มาอ้าง ยิ่งกลายเป็น “ประเด็น” ที่สร้างน้ำหนัก ให้การเคลือนไหวของกลุ่มนักศึกษา นอกสภาฯ เต็มไปด้วยความเข้มข้นมากขึ้น ขณะที่พรรคก้าวไกลเองได้ใช้จังหวะ “ตีโอบล้อม” รัฐบาล ด้วยการใช้เวทีสภาฯ กดดันในลักษณะคู่ขนานในทุกสัปดาห์ โจมตีและเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จนในที่สุดรัฐบาล “ยอมถอย” ด้วยการให้มีการจัดกิจกรรมชุมนุมเคลื่อนไหวได้ แม้จะมีการต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปอีก 1เดือน จนถึงเดือนส.ค.นี้ ความพยายามของรัฐบาลที่จะ “ปลดล็อค” ทางการเมืองไปทีละเปลาะ ทั้งการลดเงื่อนไขที่กลุ่มนักศึกษา และพรรคก้าวไกล นำมาใช้ต่อรอง ไปจนถึงการที่ยังไม่มีคำสั่งใช้ “ยาแรง” ด้วยการ “กระชับพื้นที่” จับกุมผู้ชุมนุม หรือบังคับใช้กฎหมายหมิ่นสถาบัน อย่างเข้มข้น สถานการณ์ของรัฐบาล กำลังจะพลิกเกมจากที่ตั้งรับ ไปสู่ “ฝ่ายรุก” แต่เมื่อต้องมาเจอกับกรณี #บอสกระทิงแดง ที่ถล่มเข้าใส่ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริง คู่ไปกับ โลกโซเชี่ยล จนทำให้นายกฯ อยู่ในอาการ “นั่งไม่ติด” เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก และที่สำคัญไปกว่านั้น “ผลกระทบ” ต่อรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรม อาจจะถึงขั้น “พัง” ไปพร้อมๆกัน !