เริ่มมีความหวังที่ปลายอุโมงค์ สำหรับประเทศไทย หลัง นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาคาดการณ์ว่าอย่างเร็วสุดประเทศไทยจะมีวัคซีนโควิด-19 ในช่วงกลางปี 2564 ซึ่งเวลานี้มีแนวโน้มที่ดีในการผลิต เพราะอยู่ในช่วงการทดลองกับลิง ส่วนการทดลองกับมนุษย์จะสามารถทดลองได้ปลายปีนี้ ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ประชุมร่วมกับทีมพัฒนาวัคซีนโควิด-19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยนายอนุทิน กล่าวว่า การค้นคว้าพัฒนาวัคซีนของคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ที่ทดลองในหนู ได้ผลลัพธ์เป็นบวกมากๆ หนูมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น จากนี้ จะทดลองในลิง และจะเข้าสู่การทดลองในมนุษย์ต่อไป และกว่าจะถึงจุดนั้น ต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบความปลอดภัย จะต้องไปทดสอบที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ องค์การอาหารและยาก่อน “สำหรับการค้นคว้าพัฒนาวัคซีน นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะประเทศไทย ประสบผลสำเร็จในการคัดกรอง รักษา และควบคุมการระบาดได้แล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่การพัฒนาวัคซีนให้สำเร็จเท่านั้น ก็จะกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ประเทศจะกลับสู่ความมั่นคง เรื่องนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุข คณะรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ทราบถึงความจำเป็น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรรงบให้การพัฒนาวัคซีน 3 พันล้านบาท เพื่อยืนยันความตั้งใจ ในการสนับสนุนให้ไทย มีวัคซีนเป็นของตนเอง” อีกด้านหนึ่งนายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก Paisal Puchmongkol ระบุว่า ไทยจะเป็นประเทศกลุ่มแรกร่วมกับประเทศในแอฟริกาที่จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากจีนหลังจากจีนผลิตส่งออกได้แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะประมาณไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ กระนั้นก็ตาม สถานการณ์ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่การผ่อนปรนมาตรการระยะที่ 5 ในกลุ่มกิจการที่มีความเสี่ยงสูง ประกอบด้วย สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ร้านเกม ร้านอินเmอร์เน็ต สถานบริการอาบอบนวด และโรงน้ำชา รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า “ไต้หวันเป็นประเทศที่มีระเบียบวินัยในการควบคุมการระบาดของโรค COVID-19 เฉกเช่นเดียวกับไทยที่ได้ตัดสินใจใช้มาตรการเข้มข้นตั้งแต่กลางมีนาคมเป็นต้นมา เราจึงเห็นกราฟการระบาดที่ถูกฉุดจนแบนราบได้เร็วกว่าประเทศอื่นๆบางประเทศทำได้ดีกว่าไทยในช่วงแรก เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น แต่สุดท้ายเกิดการระบาดระลอกสองจนเคสสะสมแซงไทยไปหลายเท่า ระบาดระลอกสองล้วนเกิดจากการคลายล็อคดาวน์ ให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติทั้งสิ้น ความแตกต่างของการคลายล็อคในประเทศไทยและประเทศอื่นที่กลับมามีการระบาดนั้น ต่างกันอยู่ 2 เรื่อง หนึ่ง ไทยคลายล็อคเป็นระยะ ทีละน้อย เริ่มจากเสี่ยงน้อยไปเสี่ยงมาก สอง การรณรงค์ และความร่วมมือในการควบคุมป้องกันการแพร่เชื้อ ของรัฐ ผู้ประกอบกิจการต่างๆ และประชาชน ที่ผ่านมา ไทยคลายล็อคมาหลายระยะ แต่ยังไม่มีเคสระบาดซ้ำ เพราะเหตุผลข้างต้น แต่เรายังไม่ได้ผ่านด่านสำคัญคือ กิจการเสี่ยงมาก ได้แก่ โรงเรียน ผับ บาร์ คาราโอเกะ และอาบอบนวด เหล่านี้เป็นกิจการเสี่ยงมากกกกก เพราะคนเยอะ แออัด สัมผัสใกล้ชิดและแนบชิดกัน มีเล่น มีตะโกน ดังนั้น หลัง 1 กรกฎาคมนี้ไปอีก 2-4 สัปดาห์ จึงเป็นช่วงเวลาพิสูจน์การ์ดของคนไทยทั้งประเทศครับ คนติดเชื้อ 20% จะไม่มีอาการ แต่มีโอกาสแพร่ไปให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัวได้ อีก 65% จะมีอาการคล้ายหวัดหรือหวัดใหญ่ ดังนั้นหากใครมีอาการดังกล่าว ก็ควรเอะใจและหาทางปรึกษาแพทย์หรือไปตรวจจะดีกว่าการอยู่เฉยๆ คนที่ติดเชื้อมานั้น โดยเฉลี่ยแล้วจะเริ่มมีอาการภายใน 4.5 วัน แต่อาจมีอาการเร็วใน 2 วัน หรือกว่าจะเริ่มมีอาการยาวไปถึง 14 วันได้ นี่เรียกว่าระยะเวลาฟักตัวของโรค หลัง 1 กรกฎาคม มีวันหยุดยาว 4-7 กรกฎาคม จึงประจวบเหมาะกับเวลาฟักตัวของโรคพอดี” เราเห็นว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีวัคซีนจากทั้งนำเข้าและจากของไทยทำไทยใช้เอง การตั้งการ์ดสูงเอาไว้ ยังคงเป็นวัคซีนที่ใช้ป้องกันโควิด-19 ที่ดีที่สุด