ขณะที่ “พรรคพลังประชารัฐ” ได้ “ผู้นำพรรคคนใหม่” คือ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขึ้นมาทำหน้าที่ “หัวหน้าพรรคคนใหม่” พร้อมทั้ง ยังเปิดโฉมหน้า “คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่” ที่ไร้เงา “กลุ่ม4กุมาร” ตลอดจน “มือทำงาน” ที่เชื่อมโยงกับกลุ่ม ต่างหลุดออกจากเก้าอี้หลักๆในพรรคพลังประชารัฐ กันถ้วนหน้า ปัญหาและความวุ่นวาย ภายในพรรคพลังประชารัฐเองก็น่าที่จะหยุดและยุติลงได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนว่า “ความขัดแย้ง” ยังไม่จบ และพร้อมที่จะลากยาวไปถึง วาระการปรับเปลี่ยนเก้าอี้รัฐมนตรีเมื่อการปรับครม. “ประยุทธ์2/2” มาถึง การปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ภายในพรรคพลังประชารัฐ เป็นเพียง ฉากเริ่มต้นของการ “สำแดงอำนาจ” ของกลุ่มการเมืองในพรรคที่พากันก้าวขึ้นไปนั่งอยู่ในคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ว่าพวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มก๊วนที่จะมีบทบาทจากนี้เป็นต้นไป ไม่เช่นนั้นแล้ว “อนุชา นาคาศัย” เลขาธิการพรรคคนใหม่ป้ายแดง คงไม่ประกาศผ่านสาธารณะ ว่านอกจากภารกิจทำหน้าที่ขับเคลื่อนงานในพรรคพลังประชารัฐแล้ว ยังได้เตรียม “ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่”เอาไว้แล้ว ! การส่งสัญญาณจากอนุชา คนของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม และแกนนำกลุ่มสามมิตร อย่างจงใจเมื่อวันประชุมใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ เมื่อ27มิ.ย.ที่ผ่านมา ย่อมไม่ใช่แค่การพูดลอยๆ แต่คนพูดอย่าง “เสี่ยแฮงค์” ย่อมมั่นใจว่า ข้อเสนอแนะจากเขาเอง อาจทำให้ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องรับฟัง ความเคลื่อนไหวจากนี้ไป ที่จะถูกโฟกัสเมื่อ “กลุ่ม 4 กุมาร” โดนบีบจนต้องพ้นจากเก้าอี้หลักในพรรคพลังประชารัฐไปเรียบร้อยแล้ว คือการชิงเก้าอี้รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจคืน โดยเฉพาะเก้าอี้ “รมว.พลังงาน” ที่อนุชา เองเคยพลาดหวัง เมื่อคราวตั้ง ครม. “ประยุทธ์2/1” กันใหม่ๆ ที่ต้องจำใจเห็น “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” คว้าไปนั่งด้วยความเจ็บใจ นั้นที่สุดแล้วเก้าอี้ตัวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะบริหารจัดการอย่างไรต่อไป อย่าลืมว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ “กัปตันเรือเหล็ก” ต้องแบกทั้งความคาดหวัง และภารกิจด้วยกันหลายทาง และยิ่งไปกว่านั้น ทุกเรื่องต่างมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันด้วยอีกต่างหาก ! พล.อ.ประยุทธ์ กำลังยืนอยู่บนความท้าทายอย่างที่สุด ด้วยเงื่อนไขที่ว่า จะทำอย่างไร ประเทศไทยจึงจะสามารถ ยืนระยะ “ชัยชนะ” จากการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 เอาไว้ได้ยาวนานที่สุด และเมื่อเวลานี้ประเทศได้เข้าสู่การคลายล็อค ระยะที่ 4 ไปแล้วยังต้องลุ้นว่าระยะที่ 5 จะได้รับการอนุมัติจาก “ศบค.ชุดใหญ่”ตามมาหรือไม่ เพื่อผ่อนคลายให้กับทั้ง กิจกรรมและกิจการ ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจชนิดที่ยากจะเยียวยาตามมาทันที ด้วยเหตุนี้การปรับครม.จึงหมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์ ต้อง “ตัดสินใจ” บนพื้นฐานที่มากกว่าเรื่องของการเมือง หรือการจัดสรรอำนาจ เท่านั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีกระแสข่าวที่ผุดขึ้นเป็นระลอกๆว่า “มือเศรษฐกิจ” ที่รัฐบาลจะดึงมาช่วยงานนั้น อาจจะเป็น “คนนอก” นอกจากจะเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้แล้ว ยังจะต้องมาเพื่อ ดึงเรทติ้งให้กับรัฐบาล ในช่วงครึ่งหลังของปีอีกด้วย !