สถาพร ศรีสัจจัง
เพียงพระพิรุณกระหน่ำเล่นแบบเย้าแหย่เบาๆ เมื่อยามย่ำดึกของคืนวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 ชาวกรุงเทพฯ มหานครแทบทั้งเมืองก็ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความโกลาหล จากสิ่งที่เคยเกิดแบบซ้ำซากของชาวเมืองฟ้าเมืองอมรอย่างกรุงเทพฯ นั่นคือเกิดภาวะน้ำท่วมขัง ที่ตามมาด้วยอาการอัมพาตของเมือง เนื่องด้วยการเกิดจราจรจราจล ในเช้าวันรุ่งขึ้น!
ซึ่งนั่นหมายถึงความสูญเสียอย่างรุนแรงที่ตามมา ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งเรื่องสุขภาพจิตของผู้คนทุกอาชีพ ตั้งแต่นักเรียนอนุบาลจนถึงพ่อค้าแม่ขาย ตั้งแต่คนกวาดถนน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จนถึงคนระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศ ฯลฯ
ฟังว่าเฉพาะวันที่ 24 วันเดียวนั่น คนที่ต้องไปทำงานสาย ผิดนัด ไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน ฯลฯ ในกรุงเทพฯมีนับเป็นหลายร้อยหลายพันรายทีเดียว
ใครบางคนบอกว่า เขาพักอาศัยอยู่แถวแคราย นนทบุรี วันนั้นมีกิจต้องเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่ดอนเมืองเพื่อไปทำธุรกรรมตามนัดหมายที่ต่างจังหวัด ปกติใช้บริการแท็กซี่เดินทาง กินเวลาไม่เกิน 45 นาที (ขึ้นรถช่วง 9.30น.)จ่ายเงินไม่เกิน 150บาท วันนั้น แท็กซี่ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง เสียเงินไปเกือบ 400 บาท
แถมยังตกเครื่องต้องซื้อตั๋วใหม่ และผิดนัดลูกค้าอีกต่างหาก!
เขาบอกว่ามันติดอยู่ช่วงเดียว คือจากแครายจนถึงห้างเดอะมอลล์ เท่านั้น พอข้ามสะพานเดอะมอลล์ น้ำก็แห้ง รถโปร่งวิ่งฉลุย ที่สำคัญคือในช่วงที่รถติดนั้น เขาไม่พบเห็นว่าจะมีคนของหน่วยงานไหนมาช่วยจัดการเรื่องรถติดสักคนเดียว แม้แต่ตำรวจจราจร!
ทั้งที่ควรประเมินได้ล่วงหน้าตั้งแต่ตอนกลางคืนแล้วว่าวันนั้นน่าจะเกิดอะไรขึ้นบนท้องถนนแถบนั้น ควรจะต้องเตรียมคนทุกฝ่ายและเริ่มเคลียร์ทุกอย่างได้มาตั้งแต่กลางคืนนั้นแล้ว!
หลังจากวันมหาวินาศวันแรก ฝนก็ซาลง 1 วัน แล้วสถานการณ์เรื่องน้ำท่วมกรุงเทพฯก็หนักขึ้นแบบทันตาเห็น จากภาวะของฝนฟ้าตามฤดูกาล (ก็เดือน 6 แล้วนี่!) เล่นเอาผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว แน่ละเที่ยวนี้ชาวบ้านร้านช่องก็ต้องเริ่ม “สวด”หน่วยงานที่รับผิดชอบ ที่เกี่ยวข้อง กันระงมตามระเบียบ สื่อมวลชน นักวิชาการ นักการเมืองอาชีพทั้งหลาย ก็เริ่มอาชีพนักวิจารณ์นักด่ากันกระหึ่ม(ตามหน้าที่?)
เที่ยวนี้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางออกด้วยข้อแก้ตัวแบบ “นักอนุรักษ์” ภาษาไทย นั่นคือสร้างกระแสว่า ปัญหาน้ำท่วมขังกรุงเทพฯนั้นเกิดจากนิสัยแย่ๆไม่มีสำนึกไม่มีวินัยของคนไทย ที่ชอบทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง ตั้งแต่มูลฝอยขนาดเล็กจนถึงขยะขนาดใหญ่เช่น โต๊ะ ตู้ ทีวี ไปจนถึงฟูกหมอนที่นอนสอดไส้วัสดุสังเคราะห์ที่ยากแก่การย่อยสลายไปโน่น ทำให้เกิดอาการท่อน้ำอุดตันไปทั่ว น้ำไหลได้ไม่สะดวกพอฝนตกลงมาจึงทำให้น้ำท่วมขัง แก้ปัญหาการระบายน้ำไม่ได้ หรืออะไรทำนองนั้น ฯลฯ
สรุปก็คือปัญหาทั้งหมดเกิดจากชาวบ้าน ความบกพร่องทั้งหลายไม่ได้เกิดจากหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด !
ท่านนายกฯลุงตู่ผู้น่ารักของเราก็ออกมาเอากับเขาด้วย กล่าวคือออกมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวนี้อย่างแข็งขัน แทนที่จะช่วยกันคิดกันตรวจสอบว่า จะทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกส่วน ซึ่งมีหน้าที่เบื้องต้นในการดูแล และบังคับใช้กฎหมายทำงานอย่างเข้มแข็งกว่าที่ผ่านมา เตรียมพร้อมกว่าที่ผ่านมา ใครทิ้งขยะ (ตามที่รู้ที่พูด)ก็ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดเด็ดขาดอย่างทั่วหน้า (นั่นละคือความเข้มแข็งในการป้องกันน้ำท่วมที่ทุกฝ่ายที่รับผิดชอบล้วนรู้ดี)ฯลฯ
การออกมาแก้ตัวบ่ายเบี่ยงสร้างกระแสซัดโทษชาวบ้านหรือคนอื่นเพื่อเอาตัวรอดอย่างนี้สำนวนไทยเขาว่าเป็นพวกชอบ “โยนกลอง” หรือเป็นพวกเข้าทำนอง “รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง” นั่นไง!!
ขอร้องเถอะ ! ตั้งแต่ท่านผู้ว่า กทม. จนถึงท่านผู้รับผิดชอบบ้านเมืองทั้งหลายนั่นแหละ ว่า อย่าไปแย่งงานกระทรวงวัฒนธรรมโดยการปลุกกระแสการใช้สำนวนไทยหรือโทษแต่ชาวบ้านอยู่เลย รีบๆปะชุนมุงหลังคารั่วบ้านตัวเองกันเสียเร็วๆจะดีกว่าละกระมัง !!!