25 มิถุนายน 2493 เป็นวันที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในบรรณภิภพ โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และสละ ลิขิตกุล เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง จนถึงวันนี้เป็นระยะเวลา 70 ปีแล้ว
วันเกิดปีนี้เป็นปีแรกที่กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามรัฐย้ายจากริมถนนราชดำเนิน มาอยู่บ้านใหม่ที่สำนักงานใหญ่ฝั่งพระราม 8 และเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปีนี้จึงไม่ได้จัดงานครบรอบวันสถาปนา
กระนั้น หนังสือพิมพ์สยามรัฐจะเดินมาถึงปีที่ 70 ไม่ได้เลย หากปราศจากผู้สนับสนุนที่เป็นดั่งกัลยาณมิตรจากทุกวงการ จึงขอขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ ที่นี้
เหนืออื่นใด เรายังทำหน้าที่อย่างซื่อตรง ยึดมั่นในปณิธานของหนังสือพิมพ์ ดังที่ประกาศไว้ในหน้าหนังสือสยามรัฐฉบับปฐมฤกษ์ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2493 ความว่า
“วันนี้เป็นวันที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐได้ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกหนังสือพิมพ์เมืองไทยอีกฉบับหนึ่ง ถ้าจะพูดกันสำหรับในวันนี้หรือระยะอนาคตอันใกล้ ก็นับว่าเราเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีอาวุโสน้อยที่สุดในกระบวนหนังสือพิมพ์ทั้งหลาย อันหนังสือพิมพ์นั้นย่อมมีชีวิตและจิตใจของตนเองเช่นเดียวกับบุคคล ย่อมบังเกิดมาด้วยกรรม และเมื่อบังเกิดมาแล้ว ย่อมประกอบกรรมต่อไป และย่อมต้องรับผลกรรมนั้นๆจะหลีกเลี่ยงหาได้ไม่ และก็เป็นธรรมดาอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งหนังสือพิมพ์ที่เริ่มจะก้าวเดินออกไปในโลก ย่อมปรารถนาที่จะเห็นแต่สิ่งที่ดีและตั้งปณิธานที่จะทำความดี ส่วนที่จะบรรลุผลสมดังปรารถนา และจะปฏิบัติได้ตามปณิธานนั้นหรือไม่ ย่อมสุดแล้วแต่เหตุการณ์แวดล้อมและการกระทำของหนังสือพิมพ์นั้นเอง
เราได้ถือกำเนิดมาในวันนี้พร้อมด้วยความหวังว่าเราจะสามารถเดินต่อไปอีกไกล เราเริ่มชีวิตของเราด้วยความรู้สึกสังวรในฐานะและหน้าที่ที่เรามีต่อสังคม และในขณะเดียวกันเราก็รู้จักประมาณตนเอง
ในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้มากหรือน้อยประการใด หนังสือพิมพ์ฉบับนี้มิได้ตั้งขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ในทางการเมืองของบุคคลใดหรือหมู่คณะใด เราไม่มีเจตนาล่วงหน้า ที่จะสนับสนุนหรือตำหนิติเตียนบุคคลใดหรือหมู่คณะใดโดยเฉพาะ เราเรียกชื่อหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่า "สยามรัฐ" ทั้งนี้ก็เพราะเราถือว่า ผลประโยชน์แห่งผืนแผ่นดินที่เรียกว่าสยามรัฐนี้ เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้เหนือประโยชน์อื่นใด และความผาสุกของคนทั้งปวงที่เป็นเจ้าของแผ่นดินผืนนี้ เป็นยอดแห่งความปรารถนาของเรา เรา
ได้ถือเอาดวงตราของแผ่นดินไทยค้ำจุนไว้ด้วยสัตย์ที่ไทยเราถือว่าเป็นมงคลมาทอดไว้เหนือชื่อของเรา ส่วนสุภาษิตที่เราจะยึดถือต่อไปนั้น คือพุทธภาษิตเป็นคาถาโดยอรรถว่า “นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเหปคฺคหารหํ แปลว่า “พึงชมคนที่ควรชม และข่มคนที่ควรข่ม”
เราเริ่มออกเดินทางด้วยเจตนาดังได้กล่าวมาแล้ว สาธุชนพึงเห็นว่าเป็นเจตนาอันสุจริต ขณะนี้เราถือว่าเราเป็นมิตรกับคนทุกคนที่มีสิทธิเป็นเจ้าของแผ่นดินไทยนี้เท่าๆ กับเรา เราเคารพกฎหมายบ้านเมืองและองค์การสาธารณะเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะประกอบด้วยบุคคลคณะใดหรือพรรคใด ในเมื่อรัฐบาลนั้นปฏิบัติการไปในทางที่เราเชื่อถือได้ว่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน และเพื่อความผาสุกของอาณาประชาราษฎร์
แต่ถ้ามีความคิดเห็นอื่นใดซึ่งไม่ใช่เป็นความคิดเห็นของรัฐบาลซึ่งเราเห็นว่าหากปฏิบัติไปตามความเจริญของแผ่นดินและประชาชนมากกว่า เราก็จะถือว่าเรามีทั้งสิทธิและหน้าที่จะต้องสนับสนุนความคิดเห็นนั้นๆ”