ดร.วิชัย พยัคฆโส [email protected] เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทย ที่ได้รับการชื่นชมจากชาวโลกว่าได้บริหารจัดการ COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะจากนายแพทย์โรคหัวใจจากสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวชื่นชม 5 ประเทศในโลก ได้แก่ นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ ไต้หวัน เวียดนาม และประเทศไทย ที่ได้บริหารจัดการได้ดีเยี่ยมเกือบจะฟื้นกลับได้แล้ว จะเห็นได้ชัดว่าจากทุกมาตรการที่รัฐบาลออกมาบังคับใช้ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการเรื่องการติดเชื้อโควิด-19 ที่อยู่ในวงจำกัด และค่อยๆลดลงเป็นเลขตัวเดียวมาตลอดจนเหลือผู้ป่วยเพียง 50 กว่ารายเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้จัดบริการสถานกักกันที่เป็นโรงแรมชั้นดี พร้อมอาหารทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค ต้อนรับคนไทยกลับบ้านมาเป็นระลอก จนได้รับการกล่าวขวัญจากผู้ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในสถานกักกันโรค 14 วันว่าไม่มีประเทศใดในโลกเขาทำกัน ทั้งอยู่ฟรีกินฟรี มีแพทย์คอยดูแล รวมถึงในต่างจังหวัดมี อสม. คอยดูแลเอาใจใส่ โดยเฉพาะแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ก็เก่งและยินดีต้อนรับทุกคนเข้ารักษาโรงพยาบาล ผิดกับในประเทศที่พัฒนาแล้ว ปล่อยให้ไปตายเอาดาบหน้า รักษาแต่คนชราหรือผู้ป่วยหนักจริงๆเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้มีการแพร่ระบาดและล้มตายกันมากมายดังที่เห็น เรื่องนี้ฝ่ายค้านจะยกขึ้นมาโจมตีไม่ได้เลย เพราะมีพยานหลักฐานชัดแจ้ง แบบไม่มีที่ติอยู่แล้ว จะมีก็แต่ยกเหตุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่านั้น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขโดยตรง แต่ก็สามารถช่วยได้ทางอ้อมอีกทาง ในช่วงโควิด-19 ระบาดอยู่นั้น รัฐบาลได้ระดมการช่วยเหลือและเยียวยาแก่ประชานอย่างได้ผล ทั้งอาชีพอิสระ ประกันสังคม เกษตร และจะรวมไปถึงกลุ่มเปราะบางบางกลุ่ม อย่างน้อย 40 ล้านคน ได้ประโยชน์อย่างทั่วถึง ไม่มีการทุจริตรั่วไหล เพราะจ่ายเงินโดยตรงแก่ประชาชน ทำให้ประชาชนพอใจกับการแก้ไขปัญหาปากท้องของเขาเป็นอย่างมาก นั่นคือที่มาของการออก พ.ร.ก. กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อการนั้นที่จะเข้าชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถผ่านสภาให้ความเห็นชอบไปได้ ทั้ง พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะนำมาเยียวยาประชาชน 600,000 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เพียง 550,000 ล้านบาท อีก 45,000 ล้านบาทจะนำไปพัฒนาการสาธารณสุข อีกส่วนหนึ่งคือ 400,000 ล้านบาทจะนำไปฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กำลังทรุดอย่างหนัก ให้สามารถกระตุ้นได้บางส่วน ทั้งการสร้างอาชีพ แหล่งน้ำ เกษตรอินทรีย์ รวมถึงการท่องเที่ยวระหว่างจังหวัด คงสามารถฟื้นฟูได้ไม่มากนักก็ตาม เพียงแต่รัฐบาลโดยสภาพัฒน์ฯ จะต้องชี้แจงแผนโครงการและที่มาที่ไปของการกู้เงินให้ชัดเจนและเงินจะไปอยู่กระทรวงใด ในวันที่ 7 มิ.ย. นี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถรวบรวมเสนอได้ และนำข้อสังเกตของสภาฯไปปรับปรุงให้เหมาะสม มั่นใจว่าคงผ่าน พ.ร.ก.ทั้งหมดไปได้ เพราะต่างเห็นได้ชัดว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ในขณะนี้ และ พ.ร.ก.ที่จะไปเสริมความคล่องตัวและช่วยสถาบันการเงินที่เป็น soft loan เป็นเงินของธนาคารชาติเอง คงไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ เช่นกัน โควิด-19 ครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลรับรู้ว่ามีจุดบกพร่องอะไรในสังคมและคงจะได้ศึกษา วิเคราะห์ ความเป็นจริงในทุกๆปัญหาที่มีอยู่ เพื่อพยายามอุดรอยรั่วต่างๆให้น้อยลง แต่ที่แน่ๆประชาชนเขายากจนกันทั่วหน้า เอาใจช่วยรัฐบาลให้สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้ทั่วถึงและขอให้ได้รับคำชมในการใช้เงินกู้อีกสักครั้ง โดยป้องกันการทุจริตไว้ได้